รับหลักการร่าง กม.คุ้มครอง-ส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์

รัฐสภา 28 ก.พ. – สภาฯ รับหลักการร่าง พ.ร.บ.คุ้มครอง-ส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ หนุนกลุ่มชาติพันธุ์ได้รับสวัสดิการ และมีรายได้จากการท่องเที่ยวได้


การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันนี้ (28 ก.พ.) มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 เป็นประธานการประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ วาระแรก ที่คณะรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอ รวมถึงร่างพระราชบัญญัติในลักษณะเดียวกันที่พรรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล และภาคประชาชน 2 คณะ ได้แก่ คณะนายศักดา แสนมี่  และคณะของนายนายสุริยันต์ ทองหนูเอียด เป็นผู้เสนอ 

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ชี้แจงหลักการและเหตุผลว่า เพื่อให้มีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครอง และส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ และให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ที่รัฐจะต้องส่งเสริม และคุ้มครองชาวไทยทุกชาติพันธุ์ ให้มีสิทธิดำรงชีวิตในสังคมตามวิถีชีวิต และวัฒนธรรมดั้งเดิมได้อย่างสงบสุข โดยจะต้องไม่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ และเพื่อคุ้มครอง ส่งเสริมความเสมอภาคแก่ทุกกลุ่มชาติพันธุ์


ขณะที่นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด ประชาชนผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ชี้แจงหลักการและเหตุผลว่า เพื่อให้มีกฎหมายคุ้มครองชนเผ่าพื้นเมือง ที่ประเทศไทย เป็นสังคมพหุวัฒนธรรม มีกลุ่มชาติพันธุ์ และชนเผ่าพื้นเมือง ที่มีอัตลักษณ์ และวัฒนธรรมเป็นของตนเอง มีการตั้งถิ่นฐานกระจายในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้รับรองให้บุคคลเสมอกันตามกฎหมาย และประเทศไทยยังลงนามสัญญา และอนุสัญญากับต่างชาติ รวมถึงพันธะสัญญาระหว่างประเทศ แต่ก็ยังมีการเลือกปฏิบัติจากรัฐ และไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิบางประการ เช่น การกำหนดสถานะบุคคล สิทธิอาศัยในที่ดินที่ทับซ้อนพื้นที่อนุรักษ์ทางราชการ ขาดการเข้าถึงการบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน และขาดการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่อาจกระทบต่อวีถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายคุ้มครอง

นายเล่าฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้เสนอกฎหมาย กล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ สามารถใช้เป็นเครื่องมือของชุมชน และรัฐ ในการคุ้มครองชุมชน และนำไปสู่การแก้ปัญหาการละเมิดกลุ่มชาติพันธุ์ รวมถึงจะเป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่นในการบริหารจัดการ และพัฒนาท้องถิ่น ซึ่งสังคมโลกกำลังให้ความสำคัญในการคุ้มครองให้ทุกคนมีวิถีชีวิตที่ดีอย่างเสมอภาค โดยเฉพาะชนเผ่าพื้นเมือง ที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายนโยบายในสมัยใหม่ ไปกระทบต่อวัฒนธรรม และจารีตท้องถิ่น

ด้านนายสาวปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้เสนอกฎหมาย ชี้แจงว่า แม้ที่ผ่านมารัฐจะมีมาตรการคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ยังขาดกฎหมายเฉพาะที่กำหนดมาตรการอันเหมาะสมในการปฏิบัติ ทำให้ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิบางประการ


ขณะที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า มี 4 เสาเป้าหมายในการยกระดับคุณภาพชีวิตชนเผ่า และชาติพันธุ์ ได้แก่ การให้สิทธิที่ทำกิน การคุ้มครองส่งเสริมวัฒนธรรม การให้สิทธิเด็กรหัสจี และการให้สัญชาติ เพื่อได้รับการคุ้มครองสิทธิ และเข้าถึงการบริการขั้นพื้นฐานของรัฐ

“แต่ในสภาพความเป็นจริงของประเทศไทยนั้น กลับพบว่า กลุ่มชาติพันธุ์ ไม่มีที่ทำกินของตนเอง วัฒนธรรมสูญหาย โดยเฉพาะภาษาสื่อสาร เกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และ ไม่ได้รับการบริการจากรัฐ และถูกเลือกปฏิบัติ ซึ่งอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้ ได้แก่ กฎหมาย เช่น พ.ร.บ.ป่าไม้ ป่าสงวน อุทยาน, งบประมาณต่อผู้ไร้สัญชาติไม่เพียงพอ, และการบริหรงานของภาครัฐ ที่ยังเข้าใจผิดกับกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ดังนั้น จึงขอให้สภาผู้แทนราษฎร ได้ร่วมกันรับหลักการร่างกฎหมายเหล่านี้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งแนวโน้มของโลกพิสูจน์แล้วว่า กลุ่มชาติพันธุ์ มีส่วนช่วยในการอนุรักษ์ป่า และเปลี่ยนวิธีคิด ไม่แยกคนออกจากป่า และให้กลุ่มชาติพันธุ์มีส่วนร่วม ลดการตัดไม้ทำลายป่า และเศรษฐกิจชาติพันธ์ กำลังป็นที่ส่งเสริมทั่วโลก รวมถึงการเปลี่ยนปัญหา ให้กลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ”นายพิธา กล่าว

เช่นเดียวกับ การอภิปรายของ สส.คนอื่นๆ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยต่างสนับสนุนหลักการในร่างกฎหมาย  เพื่อให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้รับสวัสดิการ สิทธิขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข การศึกษา และการประกอบอาชีพ รวมถึงยังสามารถใช้เป็นช่องทางในการส่งเสริมทางเศรษฐกิจแก่กลุ่มชาติพันธุ์ ที่แต่ละกลุ่มจะมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป เช่น การนับวันปีใหม่ ที่ภาครัฐส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้นักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชม สร้างรายได้ให้กับชุมชนได้ พร้อมขอให้ระมัดระวังการจัดตั้งสภาชนเผ่าต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียอ่อน เพราะบางการดำเนินการที่อาจนำไปสู่การแตกแยกได้ ดังนั้น ก็จะต้องคำนึงถึงมิติด้านความมั่นคงด้วย

ทั้งนี้ ก่อนการลงมติ นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เสนอญัตติให้ที่ประชุม แยกการลงมติรายฉบับ แทนการลงมติในคราวเดียวทั้งหมด แต่นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคก้าวไกล ได้เสนอให้ที่ประชุมลงมติพร้อมกันในคราวเดียว ซึ่งหากไม่เห็นด้วยในประเด็นใด ก็ขอให้ไปพิจารณาในชั้นกรรมาธิการฯ แต่ที่สุดแล้ว ที่ประชุมมีมติเสียงข้างมาก 254 ต่อ 156 เสียง ให้ลงมติแยกรายฉบับ

โดยที่ประชุม มีมติเอกฉันท์ 414 เสียง รับหลักการร่างพ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ วาระแรก ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ  และมีมติเสียงข้างมากรับหลักการร่างกฎหมายที่คณะนายศักดา แสนมี่ เป็นผู้เสนอ ด้วยมติ 386 ต่อ 25 เสียง และรับหลักการร่างกฎหมายที่เสนอโดยภาคประชาชน คณะของนายนายสุริยันต์ ทองหนูเอียด ด้วยมติ 385 ต่อ 25 เสียง รวมถึงรับหลักการร่างกฎหมายดังกล่าว ที่พรรรคเพื่อไทย ด้วยมติเอกฉันท์ 412 เสียง และมีมติเห็นด้วยกับร่างกฎหมายที่ถูกเสนอโดยพรรคก้าวไกล ด้วยมติ 389 เสียงต่อ 25 เสียง พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการฯ ขึ้นมาหนึ่งชุด จำนวน 42 คน เพื่อปรับแก้ในชั้นกรรมาธิการฯ โดยใช้ร่างกฎหมายที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี เป็นร่างกฎหมายหลักในการพิจารณา ก่อนเสนอให้สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาต่อในวาระที่ 2 และ 3 ตามขั้นตอนต่อไป

ทั้งนี้ รายละเอียดภายในร่างกฎหมาย กำหนดให้มีการคุ้มครองส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ให้มีสิทธิดำรงชีวิตตามวัฒธรรม และวิถีชีวิตดั้งเดิมตามความสมัครใจได้อย่างสงบสุข ไม่ถูกรบกวน ไม่ถูกเกลียดชัง เหยียดหยาม หรือถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม สามารถอนุรักษ์ และแสดงออกทางภูมิปัญหา วัฒธรรม ความเชื่อ ตามวิถีชีวิตได้ โดยไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของประชาชน และให้สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐเข้าถึง พร้อมกำหนดให้มีคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ขึ้นมาชุดหนึ่ง โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และรัฐมนตรีว่ากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงวัฒนธรรม เป็นรองประธานโดยตำแหน่ง เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบายเกี่ยวกับการคุ้มครอง ส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี เห็นชอบ รวมถึงการประกาศกำหนดกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายนี้

พร้อมกำหนดให้มีสมัชชากลุ่มชาติพันธุ์แห่งประเทศไทยที่มาจากสมาชิกผู้แทนกลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มละไม่เกิน 5 คน มีการเลือกประธาน และรองประธานสมัชชา และเลขานุการสมัชชา โดยจัดให้มีการประชุมปีละ 2 ครั้ง เพื่อเป็นศูนย์กลางในการประสานงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ กับสังคม เสนอแนะโยบายและมาตรการในการคุ้มครอง และส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ต่อคณะกรรมการฯ นอกจากนั้น ยังกำหนดให้มีการจัดทำข้อมูลวิถีชีวิต และประวัติศาสตร์กลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อคุ้มครอง และส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ และเป็นข้อมูลพื้นฐานสำคัญ เพื่อประกอบการพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามกฎหมายในการรับรองสถานะบุคคล หรือในการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ที่มีกฎหมายกำหนด เพื่อการอนุรักษ์ หรือใช้ประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการดำเนินการอื่นของรัฐที่กระทบต่อกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นต้น.-312.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

Taiwanese actress Barbie Hsu, who died of influenza at 48 sepia

“ซันไช่” นางเอกจาก F4 ซีรีส์ดังไต้หวันเสียชีวิตแล้ว

ไทเป 3 ก.พ.- ต้าเอส หรือที่ผู้ชมรู้จักในบทบาท “ซันไช่” นางเอกจากเรื่องรักใสใส หัวใจสี่ดวง (Meteor Garden) ซีรีส์ดังของไต้หวันในช่วงปี 2544 เสียชีวิตในวัย 48 ปี เพราะอาการแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ ต้าเอสหรือบาร์บี สวี มีชื่อจริงว่า สวี ซีหยวน เป็นที่รู้จักไปทั่วเอเชียจากซีรีส์ดังที่คนมักเรียกกันสั้น ๆ เอฟ 4 (F4) มีข่าวลือแพร่สะพัดในโลกออนไลน์เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ว่า เธอเสียชีวิตแล้ว และยิ่งเป็นกระแสหนักขึ้นไปอีกเมื่อนายหวัง เสี่ยวเฟย อดีตสามีที่เป็นนักธุรกิจได้เปลี่ยนรูปโพรไฟล์ในสื่อสังคมออนไลน์เป็นสีดำ และในเช้าวันนี้น้องสาวของเธอ สวี ซีตี้ ที่รู้จักในวงการบันเทิงว่า เสี่ยวเอส ยืนยันด้วยการส่งถ้อยแถลงถึงสถานีโทรทัศน์ทีวีบีเอส นิวส์ (TVBS News) ว่าพี่สาวของเธอถึงแก่กรรมเพราะปอดอักเสบที่เป็นอาการแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ ต้าเอสเกิดเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เริ่มเข้าวงการในฐานะศิลปินคู่กับเสี่ยวเอสในชื่อวง เอสโอเอส  “S.O.S” เมื่อปี 2537 เธอมีลูก 2 คนกับอดีตสามี […]

“เต้ มงคลกิตติ์” หอบกล้องวงจรปิด 34 จุดคดี “แตงโม” มอบดีเอสไอ

นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เข้าพบ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนข้อเท็จจริงคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม เพื่อมอบหลักฐานและให้ข้อมูลดีเอสไอ หลังรับเป็นเลขสืบสวนที่ 20/2568

“อนุทิน” ยังไม่รู้ ปม “โจ้มหาเฮง” แจ้งความเอาผิดคุณนายผู้ว่าฯ เบี้ยวค่าสลาก

“อนุทิน” บอกยังไม่รู้ ปม “โจ้มหาเฮง” แจ้งความเอาผิดคุณนายผู้ว่าฯ เบี้ยวเงินค่าสลาก ชี้หากจริง ผู้ว่าฯ เหนื่อยแน่

ข่าวแนะนำ

ตัดไฟแก๊งคอลเซ็นเตอร์

PEA ตัดไฟแก๊งคอลเซ็นเตอร์บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา 5 จุด

เริ่มแล้ว การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) รับนโยบาย สมช.สั่งตัดไฟฟ้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งเมียนมา 5 จุด เมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้

สมช.เคาะพรุ่งนี้ 9 โมง! ตัดไฟฟ้า-อินเทอร์เน็ต-น้ำมัน 5 จุด

สมช.เคาะตัดไฟฟ้า-อินเทอร์เน็ต-น้ำมัน 5 จุดในเมียนมา โยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พรุ่งนี้ 09.00 น. เชื่อ เข้าใจหลังมีการหารือแจ้งให้เตรียมความพร้อมแล้ว ย้ำ ไม่แทรกแซงเรื่องภายใน

ผบช.ภ.2 สั่งย้าย ผกก.สภ.องครักษ์ เซ่นปม จนท.บุกทลายบ่อน

รมว.มหาดไทย ชื่นชมชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง บุกทลายบ่อนนครนายก ขณะที่ ผบช.ภ.2 สั่งย้ายผู้กำกับการ สภ.องครักษ์ เซ่นปมบ่อน พร้อมตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง ใครบกพร่อง-รับผลประโยชน์ ยืนยันเอาผิดไม่มีละเว้น