17 ม.ค. – “บิ๊กโจ๊ก” ลุยสอบ “ลุงเปี๊ยก” เอง อ้างเมาเลยสารภาพ คดีฆ่า “ป้าบัวผัน” ด้าน ผบช.ภ.2 ยันไม่จับแพะ ไม่มีปกป้องแก๊งลูกตำรวจ
คดีป้าบัวผันนี้ ทำให้เมื่อวาน พล.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ต้องลงพื้นที่ติดตามคดีด้วยตัวเอง ซึ่ง “ลุงเปี๊ยก” ยืนยันสร้างเรื่องเอง ไม่มีใครบังคับให้สารภาพ ด้าน ผบ.ตร.รอรายงานผลทางคดีจากชุดสืบเย็นนี้ ยืนยันหากพบใครผิดไม่มีละเว้น
เมื่อวานนี้ (16 ม.ค.) ตำรวจนำตัว “ลุงเปี๊ยก” สามีป้าบัวผัน จากบ้านญาติใน ต.คลองน้ำใส อ.อรัญประเทศ มาให้ “บิ๊กโจ๊ก” พล.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สอบปากคำที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว พ.ต.อ.จตุรภัทร สิงหัษฐิต รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว และ พ.ต.อ.ดำรง เอี่ยมไพโรจน์ ผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว ก็ได้พูดคุยซักถามกับลุงเปี๊ยกเบื้องต้นระหว่างรอพบ พล.อ.สุรเชษฐ์
การพูดคุยลุงเปี๊ยกยืนยันว่าสร้างเรื่องขึ้นมาเอง เพื่อให้เรื่องมันจบไป ไม่มีใครบังคับหรือทำร้ายให้รับสารภาพ พร้อมยกมือพนมสาบาน
“บิ๊กโจ๊ก” สอบ “ลุงเปี๊ยก” ยันตำรวจไม่เกี่ยวข้อง
ต่อมาช่วงเวลาประมาณ 1 ทุ่ม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เดินทางมาถึง ตำรวจนำตัวลุงเปี๊ยกเข้าห้องประชุมทันที ลุงเปี๊ยกยังคงยืนยันคำเดิมว่าไม่มีใครมาบังคับ และไม่รู้จักตำรวจที่เป็นพ่อของผู้ต้องหา ส่วนตอนที่ให้การรับสารภาพและบอกว่าใช้เก้าอี้ตีนั้น เพราะเจ้าหน้าที่ยื่นเก้าอี้มาให้เท่านั้น ส่วนที่สร้างเรื่องว่าทะเลาะกันนั้นตนสมมติขึ้นมาเอง
เมื่อถามถึงไทม์ไลน์ลุงเปี๊ยกในวันที่ป้าบัวผันเสียชีวิต ลุงเปี๊ยกบอกว่าคืนนั้นตนอยู่ที่สะพานพระสยามเทวาธิราช โดยกินเหล้าและนอนอยู่ที่สะพาน
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สรุปว่าข้อมูลที่ได้มีการพบศพวันที่ 12 ม.ค. และลุงเปี๊ยกรับสารภาพ ส่วนการที่ไม่รอตรวจดีเอ็นเอก่อนนั้นก็เข้าใจได้ เพราะเมื่อผู้ต้องหารับสารภาพและมีรอยเลือด เจ้าหน้าที่ก็เชื่อว่าเป็นผู้ต้องหาแน่ จึงมีการควบคุมตัว จากนั้นจึงเร่งตรวจดีเอ็นเอ เมื่อไล่ไทม์ไลน์พบว่าผู้การจังหวัดและผู้กำกับ ก็ไม่ได้หยุดสืบสวน หลังจากนั้นมีการไปตรวจสอบที่เกิดเหตุและไล่กล้องวงจรปิดเพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม แต่กลับไปพบว่ากลุ่มวัยรุ่นเป็นคนทำร้ายป้าบัวผัน ซึ่งตำรวจพบหลักฐานนี้วันที่ 13 ม.ค. จากนั้นจึงทำเรื่องถึงศาลเพื่อขอให้ศาลปล่อยตัวลุงเปี๊ยก เพราะรู้แล้วว่าลุงไม่ผิด และในวันเดียวกันก็ไล่จับผู้ต้องหาได้ 4 คน ส่วนอีกคนพ่อพาไปเที่ยวต่างจังหวัด พอรู้เรื่องก็นำมามอบตัวในวันที่ 14 ม.ค. ทันที
ลุงเปี๊ยกกับตำรวจ พ่อผู้ก่อเหตุ ไม่ได้เจอกัน เพราะตำรวจพาลูกมามอบตัววันที่ 14 ม.ค. แต่ลุงเปี๊ยกเพิ่งได้รับการปล่อยตัววันที่ 15 ม.ค. เวลาบ่าย 2 เศษ หลังจากนั้นตำรวจนำตัวมาสอบต่อ และพาลุงไปส่งที่บ้านพี่สะใภ้ ประมาณทุ่มเศษๆ ดังนั้น หากตำรวจนำตัวลุงไปเก็บไว้คงไม่ถึงบ้านในช่วงเวลาดังกล่าว
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกอีกว่า หลังจากนี้ต้องขยายผลเรื่องเด็ก ใครเลี้ยงลูกเป็นอันธพาล เลี้ยงไม่ดีก็ต้องรับกรรมไป ซึ่งเรื่องคดีดูแล้วไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่มีตำรวจไปเกี่ยวข้อง แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่มีการตอบหรือชี้แจง จนเกิดการขยายความกันใหญ่
ด้าน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังอยู่ระหว่างรอรายงานคดีนี้เป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้บัญชาการตำรวจภาค 2 ถึงมูลเหตุและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ยืนยันว่าตั้งแต่ที่ “ลุงเปี๊ยก” มามอบตัวกับตำรวจ และรับสารภาพ ก็พาตัวไปชี้จุดเกิดเหตุตามขั้นตอน แต่ยังมีเหตุสงสัยทางคดี ตำรวจจึงส่งตัวไปฝากขังไว้ก่อนตามกฎหมาย หลังจากนั้นได้ส่งชุดสืบสวนไปตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดตามข้อสงสัย เมื่อได้ภาพจากกล้องวงจรปิดมาแล้วพบว่าผู้ก่อเหตุไม่ใช่ “ลุงเปี๊ยก” พร้อมยอมรับว่าในส่วนตัวคดีนี้ก็มีความสงสัย จึงสั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล และ พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ลงไปตรวจสอบรายละเอียดในเชิงลึกทั้งหมดในทุกประเด็น และเชื่อว่าจะได้ความกระจ่างทางคดี หากพบว่ามีตำรวจนายใดเข้าไปเกี่ยวข้องทางคดีที่ผิดกฎหมายจะดำเนินการอย่างไม่ละเว้น
ส่วนประชาชนที่ไม่สบายใจกับเรื่องการทำงานของตำรวจในคดีนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เปิดเผยว่า ขอให้ตำรวจทำงานให้ครบถ้วนทุกประเด็น และตามพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ จะเคลียร์ได้ทุกประเด็น ตอนนี้หากพูดไปก็เหมือนการแก้ตัว หากพบใครทำผิดจริงจะดำเนินคดี โดยจะเห็นได้ว่ามีการสั่งการย้ายตำรวจที่มีความสัมพันธ์กับผู้ต้องหาออกมาจากพื้นที่แล้ว เพื่อป้องกันการเข้าไปแทรกแซงการทำงานของตำรวจชุดทำคดี
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ยืนยันว่า ตำรวจค้นหาหลักฐานจากกล้องวงจรปิดมาก่อนสื่อมวลชน แต่ยอมรับว่ายังไม่ได้ไปคุยกับเจ้าของกล้องวงจรปิดว่าตำรวจหรือสื่อมวลชนเข้าไปเจอภาพก่อน ซึ่งในช่วงเย็นวันนี้ (17 ม.ค.) ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 จะรายงานขึ้นมาให้ทราบถึงรายละเอียดทางคดีทั้งหมด
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ระบุว่า หลังจากนี้ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมสถิติทางคดีอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับเยาวชนย้อนหลังไป 5 ปี เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงพฤติกรรม และจะส่งต่อให้กระทรวงยุติธรรมพิจารณาดำเนินการในการแก้กฎหมายกับเยาวชนที่กระทำผิดร้ายแรงได้บ้าง โดยให้ส่งรายงานมาให้ภายใน 31 ม.ค.นี้ .-สำนักข่าวไทย