กรุงเทพฯ 4 ต.ค. – ตร.แจ้ง 5 ข้อหาหนัก เยาวชน 14 ปี ก่อเหตุยิงในห้างดัง จ่อสอบพ่อแม่ว่ามีความผิด เข้าข่าย พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก หรือไม่
พล.ต.ต.นครินทร์ สุคนธวิท ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 เปิดเผยความคืบหน้าทางคดีเยาวชนวัย 14 ปี ก่อเหตุยิงภายในห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บอีก 5 ราย เมื่อวานนี้ว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้แจ้งดำเนินคดีกับเยาวชนวัย 14 ปี ทั้งหมด 5 ข้อหา ได้แก่ ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, พยายามฆ่า, มีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, พกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และยิงปืนในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนจะมีข้อหาอื่น ๆ หรือไม่ อยู่ในระหว่างการหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม นอกจากนี้อยู่ระหว่างสอบสวนด้วยว่า ผู้ปกครองจะเข้าข่ายมีความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ ด้วยหรือไม่ ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวเป็นการจับกุม ซึ่งขณะนี้ยังควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ที่ สน.ปทุมวัน และจะควบคุมตัวส่งศาลเยาวชนและครอบครัวกลางในวันนี้ เพื่อทำการไต่สวน การจับกุม และนำเข้าสู่กระบวนการรักษาเพื่อให้อาการสภาพจิตใจดีขึ้นก่อน จากนั้นถึงเริ่มกระบวนการสอบปากคำร่วมกับสหวิชาชีพได้
ส่วนการตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหา ในพื้นที่ สน.หลักสอง เมื่อคืน พบเครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก จะมีการแยกดำเนินคดีเป็นอีก 1 คดี นอกจากนี้ยังมีตัวแทนเจ้าหน้าที่สถานทูตจีนและสถานทูตเมียนมา เข้ามาพบพนักงานสอบสวนเพื่อพูดคุย ติดตามคดี และประสานงานเรื่องการช่วยเหลือพลเมืองที่เสียชีวิต
ด้าน ร.ต.อ.ธัญอมร หนูนารถ รอง สวป.สน.ปทุมวัน หัวหน้าชุดระงับเหตุเยาวชนชายอายุ 14 ปี กราดยิงในห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน เล่าว่า เมื่อวานนี้ได้รับคำสั่งให้เข้าไประงับเหตุในพื้นที่ห้างสรรพสินค้า ซึ่งภารกิจของตนจะต้องเข้าไประงับเหตุ ไม่ให้คนร้ายก่อเหตุเพิ่ม โดยมีการแบ่งกำลังเจ้าหน้าที่เป็นหลายชุดจาก สน.ปทุมวัน และ สน.ใกล้เคียง ในพื้นที่ บก.น.6 และเนื่องจากห้างมีขนาดใหญ่ จึงมีการแบ่งกำลัง 1 ชุดดูกล้องวงจรปิด และกระจายกำลังค้นหาคนร้าย โดยชุดของตนเองได้รับข้อมูลว่า ผู้ก่อเหตุปรากฏตัวที่ชั้น 3 ทิศใต้ของห้าง บริเวณใกล้ร้านเฟอร์นิเจอร์ จึงขึ้นไปตรวจสอบ โดยมีกำลังเสริมจาก สน.สำราญราษฎร์ ไปด้วย ตอนที่ไปถึงพบว่าเด็กชายวัย 14 ปี กำลังคุยโทรศัพท์กับตำรวจชุดไกล่เกลี่ยอีกชุดที่พยายามเจรจาเกลี้ยกล่อมให้มอบตัว แต่เด็กตอบว่า “เห็นคนถืออาวุธปืนเยอะมาก ต้องสู้ ถ้าสู้ไม่ได้ก็จะฆ่าตัวตาย”
จากนั้นตนเองจึงประเมินสถานการณ์ว่า ผู้ก่อเหตุกำลังวัดใจ จึงแสดงอาวุธให้เห็นว่าตำรวจมีอาวุธปืนยาว ซึ่งเป็นอาวุธที่เหนือกว่า เป็นจิตวิทยาให้ผู้ก่อเหตุรู้ว่า ถึงสู้ไปก็สู้ไม่ได้ สุดท้ายฝ่ายผู้ก่อเหตุจึงยอมวางอาวุธปืน และมอบตัวกับตำรวจ โดยขณะที่เข้าไปจับกุมและแจ้งรายละเอียดว่าการกระทำความผิดจะถูกแจ้งข้อหาอะไรบ้าง และแจ้งสิทธิของผู้ต้องหาตามขั้นตอนทางกฎหมาย โดยขณะนั้นผู้ก่อเหตุมีท่าทีนิ่ง ไม่ตอบโต้อะไร แต่ดูมีสติดี จากนั้นผู้บังคับบัญชาจึงมาสอบปากคำต่อ
ร.ต.อ.ธัญอมร ตั้งข้ออีกว่า ระหว่างที่เข้าไประงับเหตุ ส่วนตัวเชื่อว่าผู้ก่อเหตุน่าจะมีความชำนาญในการใช้อาวุธปืน เพราะมีอุปกรณ์สำหรับเหน็บปืน และลักษณะการใช้อาวุธเหมือนผ่านการฝึกมาก่อน. -สำนักข่าวไทย