กรุงเทพฯ 18 ก.ย. – ตำรวจสอบสวนกลางยังไม่แจ้งข้อหา ม.157 กับตำรวจ 13 นาย ที่มีกระแสข่าวก่อนหน้านี้ รอตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายก่อน คาดจะได้ความชัดเจนในสัปดาห์หน้า
เวลา 16.40 น. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยภายหลังประชุมคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน รวม 11 หน่วยงาน ภายใต้สังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อเร่งคลี่คลายคดียิง พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สารวัตรทางหลวง เสียชีวิตในงานเลี้ยงบ้านกำนันนก ซึ่งเป็นการประชุมนัดแรก หลังรับโอนคดีต่อจากกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7
พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า สำนวนคดีที่รับโอนมามี 2 คดี คือ คดีฆ่าสารวัตรแบงค์ และคดีเอาผิดตำรวจที่ไปร่วมงานเลี้ยงบ้านกำนันนก ว่าผิดมาตรา 157 หรือไม่ ซึ่งตำรวจสอบสวนกลางได้ร่วมสอบปากคำตั้งแต่เกิดเหตุ กระทั่งวิสามัญ “หน่อง ท่าผา” มือยิงสารวัตรแบงค์ กระทั่งกำนันนกมอบตัว และมีการขยายผลจับกุม 6 ตำรวจที่ให้การช่วยเหลือกำนันนกและนายหน่องหลบหนี
จากนั้นได้ดำเนินคดีกับพลเรือน 5 คน เร่งกู้เซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิด กระทั่งล่าสุดมีคำสั่งโอนสำนวนมาให้ตำรวจสอบสวนกลางขยายผลต่อ ส่วนการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในงานเลี้ยงบ้านกำนันนก ในความผิดมาตรา 157 สำนวนที่ได้รับโอนมาล่าสุดขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาใน 2 ประเด็นสำคัญ คือ ข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบว่าใครทำอะไร อยู่ที่ไหน ซึ่งต้องรวบรวมให้ครบถ้วนก่อน และข้อกฎหมายตามมาตรา 157 ที่ต้องมีการหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งตำรวจ อัยการ และศาล ว่าพฤติกรรมใดจึงจะเข้าข่ายมีความผิด ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ขณะนี้ข้อเท็จจริงยังไม่นิ่ง แต่จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด คาดว่าสัปดาห์จะมีความชัดเจนว่าจะแจ้งข้อหาใครบ้าง
ส่วนกรณีการกู้เซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิด แม้จะมี 2 ตัวที่เป็นจุดสำคัญหันหน้าไปทางโต๊ะที่เกิดเหตุ แต่ไม่สามารถกู้ได้ เนื่องจากหยุดทำงานไปตั้งแต่ 10 โมงเช้า ซึ่งมีการตั้งข้อสันนิษฐานไว้ 2 ประเด็น คือ เจ้าของบ้านหยุดเวลาของกล้องนี้ไว้ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ และมีการทำลายหลักฐานหลังเกิดเหตุ ซึ่งกำลังตรวจสอบ แต่เชื่อว่าส่วนตัวของอดีตกำนันนก ไม่น่าจะมีความรู้ในการลบภาพในกล้องวงจรปิด เพราะการนำเซิร์ฟเวอร์กล้องไปทิ้งใช้เวลาไม่นาน ไม่น่าจะลบได้ จึงเชื่อว่าน่าจะมีคนลบภาพในช่วงเวลาดังกล่าว แต่หากว่าไม่มีภาพวงจรปิดในขณะเกิดเหตุ ก็ยังมีหลักฐานอื่นๆ ทั้งคำให้การพยาน อาวุธปืน และมูลเหตุจูงใจ มั่นใจเอาผิดผู้ต้องหาถึงที่สุดได้ ยืนยันตำรวจสอบสวนกลางไม่ได้ประวิงเวลาช่วยเหลือใคร แต่อยากให้ได้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนก่อน
ส่วนกรณีที่พบว่ามี พ.ต.ท.ภทร วรญาวิสุทธิ์ หรือสารวัตรไอซ์ พาแฟนไปร่วมงานด้วย และจังหวะที่เกิดเหตุได้พาแฟนไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งกล้องวงจรปิดจับได้ว่าสารวัตรไอซ์ยกปืนขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงปืน แต่ไม่ได้ยิงไปที่บุคคลใด หรือเข้าไประงับเหตุ เนื่องจากอยู่ห่างจากจุดเกิดพอสมควร จึงอาจไม่เข้าข่ายผิดข้อหา ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
สาเหตุที่ ผบ.ตร. สั่งโอนคดีให้ตำรวจสอบสวนกลางดำเนินการต่อ พล.ต.ท.จิรภพ ชี้แจงว่า เป็นเรื่องปกติ เพราะเหตุเกิดที่ จ.นครปฐม มีผู้มีอิธิพลเกี่ยวข้อง จึงเป็นหน้างานของกองปราบฯ ที่ดูเรื่องผู้มีอิทธิพลอยู่อยู่แล้ว ซึ่งจะโปร่งใส ชัดเจน ตรงไปตรงมา โดยคดีที่โอนมาก็เป็นการดำเนินการสืบสวนสอบสวนต่อเนื่องจากของเดิม เนื่องจากสอบสวนกลางร่วมทำคดีนี้กับหน่วยอื่นๆ มีการประชุมร่วมและประสานงานกันตลอด
ขณะที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจทางหลวง เปิดเผยว่า ในเรื่องนี้ตำรวจสอบสวนกลางจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งตำรวจและคนที่อยู่ในเหตุการณ์ โดยจะนำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมายืนยัน โดยจะต้องมาไล่เลียงใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่หลังเสียงปืนดังขึ้น มีใครที่วิ่งหนี หรืออยู่ต่อแล้วทำอะไรบ้าง ส่วนใครจะเกี่ยวกับข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ก็จะมาตรวจสอบกันทีละนาย
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่า วันเกิดเหตุได้ไปตรวจสอบในที่เกิดเหตุ และคุยกับคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุหลายคน รวมทั้งพบเจอ พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ ในฐานะผู้บังคับบัญชาของ พ.ต.ต.ศิวกร และที่บริเวณแขนและเสื้อมีรอยเลือดเปื้อนอยู่ รวมทั้งได้ช่วยเหลือ พ.ต.ต.ศิวกร ร่วมกับลูกน้องอีก 3 คน ออกจากพื้นที่ โดนอุ้มอยู่บริเวณข้อเท้า ก่อนไปสั่งการต่อ รวมทั้งนำ พ.ต.ท.วศิน พันปี ตำรวจที่บาดเจ็บ ไปส่งโรงพยาบาล จึงอยากให้สังคมให้ความเป็นธรรมกับ พ.ต.อ.วชิรา ที่รับผิดชอบในสิ่งที่กระทำไปแล้ว
ส่วนประเด็นเรื่องส่วยสติกเกอร์ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า ก่อนหน้านี้พบมีตำรวจทางหลวงเกี่ยวข้องกระทำความผิดต่อหน้าที่ 29 นาย ส่งสำนวนให้สำนักงาน ป.ป.ช. พิจารณาไปแล้ว 6 นาย ล่าสุดได้ตรวจสอบพบและสั่งย้ายตำรวจเพิ่มไปแล้วอีก 4 นาย ส่วนเหตุการณ์นี้ กองบังคับการตำรวจทางหลวงได้ส่ง พ.ต.ต.ศิวกร ไปแก้ไขปัญหานี้ หลังจากย้ายตำรวจชุดเก่าในพื้นที่ออกมาแล้ว และเชื่อว่า พ.ต.ต.ศิวกร ไม่ยอมที่จะให้มีการรับส่วยสติกเกอร์อีก จึงอาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้อดีตกำนันนกไม่พอใจ เพราะทำธุรกิจรถบรรทุกอยู่แล้ว แม้ว่ารถบรรทุกในบริษัทของอดีตกำนันนกจะไม่มีรูปแบบสติกเกอร์ที่ติดไว้บนรถอย่างชัดเจน แต่พบว่าได้ติดชื่อบริษัทเอาไว้ที่หน้ารถ ทำให้เชื่อได้ว่าอาจเป็นจุดสังเกตที่ทำให้ตำรวจทางหลวงรู้กันว่าเป็นรถของบุคคลใด
ขณะที่การปราบปรามส่วยสติกเกอร์ยังคงเดินหน้าปราบปรามอย่างจริงจัง และที่ผ่านมาหลังจากเกิดเรื่องร้องเรียน ทางตำรวจทางหลวงพยายามทำให้ปัญหานี้ลดลงแล้ว แต่ยังมีบางคนพยายามทำให้กลับขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งตำรวจที่ได้ส่งไปแก้ไขปัญหาพยายามกดเรื่องเหล่านี้ให้หายไปแล้ว แต่ยังมีคนที่เฝ้าสังเกตพฤติกรรมของตำรวจอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเชื่อว่าคดีนี้ยังตรวจสอบอีกนาน เพราะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง.-สำนักข่าวไทย