กรุงเทพฯ 3 ส.ค. – “เศรษฐา” ควง “สุทิน” รมว.กลาโหม นัดหารือร่วมกับว่าที่ ผบ.เหล่าทัพคนใหม่ เพื่อประสานความร่วมมือการขับเคลื่อนงานของรัฐบาลและกองทัพ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมือง
มีรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมนายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นัดหารือเป็นการภายใน ร่วมกับผู้บัญชาการ 4 เหล่าทัพ คือ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ว่าที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ว่าที่ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ว่าที่ผู้บัญชาการทหารเรือ และ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ว่าที่ผู้บัญชาการทหารอากาศ
ตามรายงานการนัดหารือกันในวันนี้ (3 ส.ค.) จะเน้นการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะกับทางกองทัพบกให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดการประสานความร่วมมือขับเคลื่อนงานของรัฐบาลและกองทัพ โดยเฉพาะให้สอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมือง ก่อนนำมาบรรจุไว้ในนโยบาย ร่วมกับนโยบายของ 11 พรรคการเมือง และตามหมุดหมายรัฐบาลจะแถลงนโยบายในวันที่ 11 กันยายนนี้
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า หลังหารือร่วมกับผู้บัญชาการ 4 เหล่าทัพแล้ว นายสุทิน คลังแสง มีกำหนดการเดินทางเข้าพบอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อาทิ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อขอคำแนะนำในการทำงาน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เข้าพบ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา แล้ว
นอกจากนี้ นายสุทิน ยังเตรียมที่จะเข้าพบนักวิชาการด้านความมั่นคง อาทิ ศาสตราจารย์ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยก่อนหน้านี้ได้หารือกับนายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี ประจำ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
และมีรายงานว่า ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตอนนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสม ซึ่งตามรายงานหนึ่งในนั้นมีชื่อของ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ด้วย
ทั้งนี้ รายงานข่าวเปิดเผยด้วยว่า ก่อนหน้านี้ได้เคยมีการพูดคุยกันในเรื่องการทำงานระหว่างรัฐบาลและกองทัพมาบ้าง โดยนายเศรษฐา มีนโยบายพร้อมจะทำงานกับกองทัพในฐานะรัฐบาลพลเรือนที่พร้อมรับฟังคำแนะนำต่างๆ อีกทั้งในเรื่องการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ รัฐบาลก็พร้อมสนับสนุน จะไม่ตัดงบประมาณดังกล่าว หากมีความจำเป็น เพราะเข้าใจดีว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ถือเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะปกป้องประเทศ โดยเฉพาะตามแนวชายแดนต่างๆ ที่จำเป็นต้องมีทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้าน
และหากมีการเจรจาในเรื่องนี้ จะขอให้ทางกองทัพนำเสนอสินค้าภายในประเทศไทยที่มี เพื่อแลกเปลี่ยนหรือไปจำหน่ายกับประเทศนั้นๆ ในลักษณะการแลกเปลี่ยน หรือ บาร์เธอร์ (barter) ระหว่างกัน ซึ่งก็จะทำให้สินค้าที่เรามีอยู่สามารถมีช่องทางเพิ่มในทางการตลาดกับต่างประเทศได้อีกทางหนึ่ง. – สำนักข่าวไทย