กรุงเทพฯ 6 มิ.ย.- อธิบดีกรมชลฯ ย้ำเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำใน 66 อำเภอ 23 จังหวัดจากฝนตกหนัก ตามประกาศ กอนช. ที่เตือนให้ระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง ล่าสุดกรมอุตุฯ เตือนพบ 3 ปัจจัยที่จะทำให้ฝนตกหนักบางพื้นที่ 7-11 มิ.ย. ทั้งมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงและหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง เสริมด้วยร่องมรสุมที่พาดผ่านตอนบนของประเทศ
นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทานกล่าวว่า ได้กำชับให้โครงการชลประทานทั่วประเทศเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำตามประกาศของกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ที่แจ้งเตือนว่า ในช่วงวันที่ 7 – 11 มิถุนายน 2566 ให้เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก รวมถึงกรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนฉบับล่าสุดว่า มี 3 ปัจจัยที่ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกเพิ่มขึ้นและตกหนักบางพื้นที่ ประกอบด้วยมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดที่ยังคงปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงปกคลุมชายฝั่งประเทศเมียนมา นอกจากนี้ยังเสริมด้วยร่องมรสุมที่พาดผ่านประเทศเมียนมา ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง
จากการประเมินวิเคราะห์สถานการณ์น้ำด้วยฝนคาดการณ์จากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) พบพื้นที่เสี่ยง 66 อำเภอใน 23 จังหวัด ดังนี้
1. ภาคเหนือ
– จังหวัดเชียงใหม่ (อำเภอเชียงดาว แม่แจ่ม แม่วาง กัลยาณิวัฒนา จอมทอง สะเมิง อมก๋อย และฮอด)
– จังหวัดแม่ฮ่องสอน (อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน แม่ลาน้อย แม่สะเรียง ขุนยวม ปางมะผ้า ปาย และสบเมย)
– จังหวัดลำพูน (อำเภอทุ่งหัวช้าง แม่ทา บ้านโฮ่ง และป่าซาง)
– จังหวัดตาก (อำเภอแม่ระมาด แม่สอด พบพระ ท่าสองยาง และอุ้มผาง)
– จังหวัดแพร่ (อำเภอเด่นชัย)
– จังหวัดพิจิตร (อำเภอบางมูลนาก)
– จังหวัดอุตรดิตถ์ (อำเภอฟากท่า)
– จังหวัดเพชรบูรณ์ (อำเภอวิเชียรบุรี)
2. ภาคกลาง ได้แก่
-จังหวัดนครสวรรค์ (อำเภอบรรพตพิสัย)
– จังหวัดอุทัยธานี(อำเภอหนองขาหย่าง)
3. ภาคตะวันออก
– จังหวัดฉะเชิงเทรา (อำเภอบ้านโพธิ์)
– จังหวัดสระแก้ว (อำเภอวัฒนานคร)
– จังหวัดชลบุรี (อำเภอพานทอง)
– จังหวัดระยอง (อำเภอเมืองระยอง บ้านค่าย และแกลง)
– จังหวัดจันทบุรี (อำเภอเมืองจันทบุรี แหลมสิงห์ และขลุง)
– จังหวัดตราด (อำเภอเกาะกูด เกาะช้าง เขาสมิง เมืองตราด แหลมงอบ และคลองใหญ่)
4. ภาคใต้
– จังหวัดระนอง (อำเภอกะเปอร์ เมืองระนอง และสุขสำราญ)
– จังหวัดพังงา (อำเภอกะปง คุระบุรี ตะกั่วทุ่ง ตะกั่วป่า และท้ายเหมือง)
– จังหวัดภูเก็ต (อำเภอกะทู้ ถลาง และเมืองภูเก็ต)
– จังหวัดกระบี่ (อำเภอคลองท่อม เกาะลันตา เมืองกระบี่ เหนือคลอง และอ่าวลึก)
– จังหวัดตรัง (อำเภอเมืองตรัง กันตัง และปะเหลียน)
– จังหวัดสตูล (อำเภอละงู)
จังหวัดยะลา (อำเภอรามัน)
นายประพิศกล่าวว่า พื้นที่เสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษคือ พื้นที่ที่มีฝนตกสะสมมากกว่า 90 มิลลิเมตรในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง พื้นที่ที่เคยเกิดน้ำท่วมอยู่เป็นประจำ หรือพื้นที่ชุมชนเมืองที่เคยเกิดน้ำท่วมขังไม่สามารถระบายได้ทัน จึงย้ำให้โครงการชลประทานทุกแห่งติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง ดำเนินการตามแผนรับสถานการณ์น้ำหลาก เตรียมความพร้อมบุคลากร เครื่องจักรเครื่องมือ กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ ลอกท่อระบายน้ำ และพร้อมบูรณาการกับหน่วยงานต่างๆ ในการช่วยเหลือประชาชน
ทั้งนี้ หากหน่วยงานหรือประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่โครงการชลประทานใกล้บ้านหรือโทรศัพท์สายด่วนกรมชลประทาน 1460 .- สำนักข่าวไทย