กรุงเทพฯ 29 ต.ค. – รอง ผบช.น. เผยเร่งล่าหัวโจกใหญ่แก๊งโอรส หนีการจับกุมของตำรวจบนถนนเพชรเกษม ย่านบางแค ย้ำยิงสกัดล้อรถ เป็นไปตามยุทธวิธี หัวหน้าชุดผู้ปฏิบัติการประเมินแล้ว หากไม่ลงมือยิงสกัดอาจเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่
16.30 น. พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น. แถลงถึงกรณี ตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวนกองบังคับการตำรวจนครบาล 7 ทำการปิดล้อมจับกุม ผู้ต้องหาค้ายาเสพติด บริเวณถนนเพชรเกษม ย่านบางแค ช่วงเย็นวานที่ผ่านมา (28 ต.ค.) จนเกิดเหตุปะทะยิงกันสนั่นเมือง และเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้รถประชาชนซึ่งสัญจรอยู่บนถนนเพชรเกษมได้รับความเสียหาย 5 คัน ซึ่งภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจมีกล้องหน้ารถของประชาชนสามารถบันทึกภาพไว้ได้ และแพร่หลาอยู่ในโซเชียลมีเดียทันที หลังปฏิบัติการดังกล่าวจบสิ้นลง
รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า ปฏิบัติการดังกล่าว เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจากกรณีที่ ตำรวจฝ่ายสืบสวนสนกองบังคับการตำรวจนครบาล 7 ขยายผลจับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติด ของ สน. ศาลาแดง ซึ่งจับกุมผู้ต้องหาได้เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และผู้ต้องหาก็ซัดทอดไปยังกลุ่มผู้ต้องหาอีก 3 คน คือ นายชนทัต นายวินิต และนายประพัฒน์ ต่อมาตำรวจได้เฝ้าสังเกตพฤติกรรมของทั้งสามเรื่อยมาจนกระทั่งพบข้อมูลชัดเจนว่าทั้งสามคนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด จึงขอหมายจับในข้อหาสมคบกันเกี่ยวกับยาเสพติด และขอหมายค้นเข้าทำการตรวจค้น เป้าหมาย รวม 4 จุด บริเวณเขตพื้นที่ สน.หลักสอง 1 จุด สน.บางเสาธง 1 จุด และบางกรวย นนทบุรี อีก 2 จุด
ระหว่างที่ตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านพักย่านพุทธมณฑล สามารถจับกุมตัวนายวินิตและนายประพัฒน์ ได้ ขณะที่นายชนทัต หัวโจกใหญ่ไหวตัวหลบหนีขึ้นรถยนต์ ขับหลบหนีเข้าถนนเพชรเกษม ซึ่งตำรวจที่ปักหลักอยู่ประมาณ 10 นาย จำเป็นต้องแสดงตัวเพื่อดำเนินการจับกุม แต่ผู้ต้องหากลับขับรถชนตำรวจและขับรถชนรถประชาชนเพื่อเปิดทางหลบหนีการจับกุม ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจำเป็นต้องใช้มาตรการสกัดกั้นการหลบหนีและป้องกันการสูญเสียของประชาชนบนท้องถนน ตำรวจจึงยิงล้อรถของผู้ก่อเหตุ แต่ก็ยังขับรถฝ่าวงล้อมไปได้
หลังจากนั้นผู้ต้องหาได้ขับรถไปจอดทิ้งไว้ ที่ลานจอดรถศรีเวช เขตภาษีเจริญ เบื้องต้นจากแนวทางการสืบสวนเชื่อได้ว่า นายชนทัต ยังคงกบดานในพื้นที่ กทม. จากการสอบประวัติพบว่าผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ถือเป็นตัวการของขบวนการค้ายาเสพติดรายสำคัญ และเป็นสมาชิกระดับหัวของแก๊งโอรส ที่ผ่านมาผู้ต้องหา ไม่เคยแตะต้องยาเสพติดทำหน้าที่ควบคุมสั่งการเท่านั้น
อย่างไรก็ตามระหว่างเข้าค้นบ้านพักทั้ง 4 จุด พบยาเสพติด เป็นยาไอซ์ 17 กิโลกรัม ยาอีผง 18 กรัม อีเม็ด 235 เม็ด ยาไฟฟ์ไฟล์ และแฮปปี้วอเตอร์อีกจำนวนหนึ่ง
นอกจากนี้ทั้งสามคนยังมีประวัติยาเสพติดยาวเป็นหางว่าว รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า ในฐานะผู้บังคับบัญชาของแสดงความเสียใจกับประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่อยากให้ประชาชนเข้าใจการทำงานของตำรวจเพราะหากตำรวจไม่ตัดสินใจลงมือดังกล่าวอาจเกิดความสูญเสียมากกว่านี้ก็เป็นได้ พร้อมยืนยันว่าตำรวจได้รวบรวมความเสียหายของประชาชนไว้ในสำนวนเพื่อดำเนินคดีอาญากับนายชนทัต และฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในทางแพ่งให้ผู้เสียหาย ยืนยันตำรวจจะรับผิดชอบอย่างเต็มที่ แต่เหตุการณ์นี้ความเสียหายไม่ได้เกิดจากการกระทำของตำรวจ แต่เป็นการกระทำของผู้ต้องหา อยากให้ประชาชนเข้าใจการทำงานของตำรวจด้วย พร้อมฝากถึงนายชนทัตว่า หากดูข่าวอยู่ให้จดจำหน้าตน และ พ.ต.อ.เจษฎา สวยสม รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 7 ไว้ให้ดี ถ้าเจอตำรวจแล้วใช้อาวุธตำรวจก็จะพิจารณา ดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งตนยอมรับว่าเป็นห่วง เพราะฉะนั้นให้แสดงตัวหรือมอบตัวจะดีกว่า พร้อมย้ำว่า เป็นห่วงจริงๆ .-สำนักข่าวไทย