กรุงเทพฯ 6เม.ย. กฟผ.เตรียมนำเข้าแอลเอ็นจีลำที่2
หลังทุกฝ่ายระบุการขนส่งไม่ได้รับผลกระทบจากCVID-19
และร่วมพิชิตไฟป่าภาคเหนือ
นายพัฒนา แสงศรีโรจนน์ รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ และ
โฆษก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. กล่าวว่า การนำเข้า
ก๊าซธรรมชาติเหลวหรือ แอลเอ็นจี ลำที่ 2 โดย กฟผ. อีก 65,000
ตัน นั้น จะเข้ามาในเดือนเมษายนนี้ ตามกำหนดการเดิม โดยได้หารือกับ ผู้จำหน่าย คือ
บริษัท PETRONAS LNG และ พีทีที แอลเอ็นจี ผุ้ให้บริการคลังและท่าเรือ
แล้วว่า ถึงแม้ว่าในขณะนี้ มีการระบาดของ COVID-19
ทั่วโลก แต่การขนส่งแอลเอ็นจีไม่ได้รับผลกระทบ
แต่จะมีการเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยและการป้องกันโรคมากยิ่งขึ้น ดังนั้น
การนำเข้ารอบที่ 2
นี้จะไม่มีพิธีรับเรือเหมือนกันการนำเข้ารอบแรก เมื่อเดือนธันวาคม 2562
ที่นำเข้ามาแล้ว 65,000 ตัน
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ผลกระทบจาก COVID-19
กระทบไปทั่วโลกและส่งผลต่อความต้องการใช้พลังงาน ดังนั้น
กฟผ.จึงอยู่ระหว่างทบทวนการขอนำเข้าแอลเอ็นจีในรอบถัดไป โดยปริมาณนำเข้าจะลดลง
จากเดิม ที่ คณะกรรมการ กฟผ. เมื่อวันที่ 24
ม.ค. 2563 ได้เห็นชอบแผนการจัดหาLNG แบบตลาดจร
(Spot)เพิ่มเติม ซึ่งมีระยะเวลา 3 ปี
ตั้งแต่ปี 2563-2565 แบ่งเป็น ปี2563
ปริมาณไม่เกิน 0.6 ล้านตันต่อปี, ปี2564
ปริมาณ 1.9 ล้านตันต่อปี และปี2565
ปริมาณ 1.5 ล้านตันต่อปี เพื่อให้ กฟผ.
มีความยืดหยุ่นทั้งด้านความมั่นคงและต้นทุนเชื้อเพลิง
สามารถบริหารจัดการก๊าชธรรมชาติสำหรับโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)
ล่าสุดที่ให้ทบทวนแผนการนำเข้าแอลเอ็นจี ประเภทคลังลอยน้ำ (FSRU) 5
ล้านตัน/ปี ที่ในขณะนี้ กฟผ.อยู่ในขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็น EHIA (กระบวนการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ)
นั้น โฆษก กฟผ. ระบุว่า มติ ดังกล่าวให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอความเห็นให้
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) โดย กฟผ.ได้เสนอข้อมูลไปแล้ว
แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด เบื้องต้นเห็นว่า ควรดำเนินการต่อ แม้จะมีคลังแบบ TERMINAL
จะเกิดขึ้นถึง 3 แห่ง คือ มาบตาพุด,หนองแฟบ
และ ท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3
โดยแต่ละโครงการต้องมีการดำเนินการที่เหมาะสม ซึ่งจะตอบสนองนโยบายของรัฐ
ที่ให้เกิดการแข่งขันเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ไฟฟ้าตามโครงการ เปิดให้ใช้หรือเชื่อมต่อระบบส่งก๊าซธรรมชาติและสถานีแอลเอ็นจีแก่บุคคลที่สามของรัฐบาล
และส่งเสริมให้มี Shipper รายใหม่ ในการดำเนินการจัดหา LNG
โฆษก กฟผ. กล่าวด้วยว่า ปัญหาไฟป่าทางภาคเหนือ
เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี ปีละ 30-40
ครั้งทางเขื่อนภูมิพล โดยพนักงานจิตอาสา
จัดตั้ง “ทีมเสือดำดับไฟป่า” ปฏิบัติภารกิจ
“ทน เสียว เสี่ยง”ในการดูแลผืนป่าร่วมกันภายใต้แผนงาน
“ดับไฟป่า สร้างแนวกันไฟ สร้างฝายชะลอน้ำ
เผื่อรักษาผืนป่าให้กับชุมชน
โดยสามารถสร้างเส้นทางกันไฟป่าเส้นทางหลักรวมระยะทางทั้งสิ้น 35
กิโลเมตร รายล้อมบริเวณ 2 ฝั่งแม่น้ำปิง
ครอบคลุมพื้นที่ป่าโดยรอบเขื่อนภูมิพลที่ กฟผ. ดูแล ถึง 15,000
ไร่และยังสร้างแนวกันไฟป่าแบบแนวซอยเพื่อป้องกันการลุกลามของไฟป่าเป็นช่วง ๆ
นอกจากนี้ยังได้สร้างฝายชะลอน้ำในพื้นที่ รวมจำนวน 21,000
ฝาย เพื่อให้ผืนดินมีความชุ่มชื้นและมีส่วนช่วยให้ไฟป่าไม่ลุกลาม
“ปัญหาไฟป่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ระดับประเทศที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง
กฟผ.ก็พร้อมสนับสนุนและช่วยเหลือชุมชนในพื้นที่ เพื่อช่วยบรรเทาและคลี่คลายสถานการณ์ไปด้วยกัน”
โฆษก กฟผ.ระบุ.-สำนักข่าวไทย
