คลื่น FM 96.5 จัดเวที “MCOT เจาะลึกเลือกตั้ง66 The Last War”

อสมท 6 พ.ค. – “คลื่น FM 96.5 จัดเวที MCOT เจาะลึกเลือกตั้ง66 The Last War” ผ่านรายการเสาร์เสวนา สเปเชียล ตัวแทน 6 พรรคการเมือง ร่วมแลกเปลี่ยนกลยุทธ์สู้ศึกเลือกตั้งโค้งสุดท้าย ประสานเสียงไม่เห็นด้วยมีรัฐบาลเสียงข้างน้อย เชื่อทำให้เกิดความวุ่นวายหลังการเลือกตั้ง ขอ 250 ส.ว. ปิดสวิตช์ตัวเอง อย่างัดข้อกับประชาชน


รายการเสาร์เสวนา สเปเชียล คลื่น FM 96.5 จัดเวที MCOT เจาะลึกเลือกตั้ง66 The Last War ดำเนินรายการโดย มนตรี จอมพันธ์ และสุปัน รักเชื้อ เชิญตัวแทน 6 พรรคการเมือง ร่วมแลกเปลี่ยนกลยุทธ์สู้ศึกเลือกตั้งโค้งสุดท้าย ประกอบด้วย 1.นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษาคณะกรรมการนโยบาย พรรคพลังประชารัฐ 2.นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) 3.นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานคณะกรรมการนโยบาย พรรคประชาธิปัตย์ 4.นายนิมิตร สมเจริญ รองโฆษกพรรคเสรีรวมไทย 5.นายวรภพ วิริยะโรจน์ ทีมเศรษฐกิจ พรรคก้าวไกล 6.นายนิกร จำนง ประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ พรรคชาติไทยพัฒนา

ช่วงแรกให้แต่ละพรรคสะท้อนว่ามองผลโพลที่ออกมาเป็นอย่างไร นายวรวุฒิ พรรคชาติพัฒนากล้า มองว่าปัจจุบันประเทศไทยมีโพลหลายสำนัก และจัดทำถี่เกินไป เปรียบเสมือนใช้โพลชี้นำทางการเมือง ถือเป็นอันตราย แม้รัฐธรรมนูญจะเปิดให้มีพรรคการเมืองได้มากรอบนี้ 69 พรรคการเมือง แต่ก็ทำให้พรรคการเมืองขนาดเล็กไม่ได้รับความสนใจ เพราะสื่อจะสนใจไปที่พรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่อยู่ลำดับต้นๆ ของโพล จึงไม่เหมาะกับการสนับสนุนประชาธิปไตย และในต่างประเทศจะไม่มีการทำโพลถี่ขนาดนี้ อีกทั้งจะมีเพียงไม่กี่สำนักโพลที่จัดทำและเชื่อถือได้ อ้างอิงตามหลักวิชาการ มีฐานกลุ่มตัวอย่างที่มากกระจายตามหลักวิชาการ แต่ตอนนี้ประเทศไทยไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ


นายนิกร พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า บางสำนักโพลต้องใช้มือถือในการโหวต และค่อนข้างทำได้ยาก ไม่เหมาะกับคนทุกกลุ่ม จากนั้นก็นำมาเผยแพร่ทำให้ผู้ที่ถูกจัดอันดับเชื่อ ทั้งที่จริงไม่ใช่อย่างนั้น และเรื่องโพลมีผลทางการเมืองอยู่มาก เพราะมีการนำไปใช้ส่งผลกระทบเยอะ แต่พรรคชาติไทยพัฒนาไม่หวั่นไหวเรื่องนี้ เพราะมีแผนที่วางไว้ เพียงแต่มีปัญหากับการเลือกตั้งโดยรวมแน่

ด้านนายวรภพ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า แต่ละโพลมีวิธีจัดทำแตกต่างกัน เพียงแต่ต้องดูว่าโพลครั้งที่ผ่านมากับครั้งล่าสุดแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งการที่ผลโพลออกมาสามารถสื่ออะไรบางอย่างได้ และไม่ใช่เพียงโพลเท่านั้น การลงพื้นที่ การปราศรัย นโยบาย ก็สามารถส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงได้ จึงเป็นที่มาว่าผลโพลล่าสุด พรรคก้าวไกลเริ่มนำขึ้นมาเมื่อเทียบกับครั้งก่อน

นายพิสิฐ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การทำโพลเป็นเรื่องที่ดี ทำให้รู้ว่าพรรคมีเรทติ้งอย่างไร และผลสะท้อนออกมาอย่างไร แต่ในทางปฏิบัติต้องดูว่ามีการใช้โพลชี้นำหรือไม่ จึงอยากให้ กกต. ตรวจสอบด้วยว่าการจัดทำโพลเหล่านั้นถูกหลักวิชาการหรือไม่


ขณะที่นายนิมิตร พรรคเสรีรวมไทย มองว่าผลโพลที่ออกมา พรรคเสรีรวมไทยน้อมรับ เพราะเป็นเสียงสะท้อนจากประชาชน และเป็นสิ่งที่พรรคต้องขยันทำงานให้หนักขึ้น

นายธีระชัย กล่าวว่า ผลโพลสะท้อนการเมืองและบรรยากาศทางการเมืองมากเกินไป หลายพรรคมีนโยบายที่ดีมาก แต่การทำผลโพลที่ออกมาไม่ได้สะท้อนว่าประชาชนชื่นชอบในนโยบายของแต่ละพรรคการเมืองอย่างไร

จากนั้นช่วงสุดท้ายของเวทีเสวนาได้ให้ตัวแทนพรรคการเมืองสะท้อนคำถามของสังคม เรื่องจะสนับสนุนรัฐบาลเสียงข้างน้อยหรือไม่

นายนิกร พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ในความเป็นจริงเป็นไปไม่ได้ เพราะจะไม่สามารถทำงานในสภาฯ โดยเฉพาะการผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ ซึ่งเดิมทีประเทศไทยให้พรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงเลือกตั้งมากที่สุดได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ปัจจุบันพบว่าหากเป็นแกนนำในการรวมเสียงได้มากก็จัดตั้งรัฐบาล ขั้นตอนต่อไปคือการประชุมสภาฯ และหากใครเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็จะสามารถบอกได้ ดังนั้น พรรคชาติไทยพัฒนาไม่หนุนรัฐบาลเสียงข้างน้อย ส่วนหลังเลือกตั้งตนมองว่าจะเกิดความวุ่นวาย และปัญหาจะมาจาก ส.ว. ที่ยังมีวาระสามารถโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ จะทำให้สภาฯ บิดตัวไปมา ทำให้มองยาก แต่หลังจากมี ส.ว.ชุดใหม่ ที่ไม่มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี ช่วงนั้นจะเป็นหลุมใหญ่ที่สภาฯ ไม่น่าจะผ่านจุดนั้นไปได้ และมีปัญหาจนอาจเกิดการยุบสภาฯ ในช่วงรอยต่อนั้น

นายวรภพ พรรคก้าวไกล ระบุว่า เห็นว่าการยุบพรรคอนาคตใหม่ไม่ได้มีผลอะไร และสุดท้ายก็มีคนใหม่ที่มีชุดความคิดเหมือนกัน อุดมการ เหมือนกันขึ้นมาทำงาน และความต้องการของประชาชนก็ยังอยู่ เท่ากับว่าไม่ได้มีการยึดติดตัวบุคคล แต่เป็นความต้องการของประชาชนที่ต้องการเห็นการขับเคลื่อนประเทศไทยไปในสิ่งที่พรรคก้าวไกลต้องการนำเสนอ

นายนิมิตร พรรคเสรีรวมไทย ระบุว่า สนับสนุนหลักการประชาธิปไตย เคารพในเสียงส่วนมาก ในเมื่อฉันทามติเห็นควรให้พรรคใดพรรคหนึ่งมีเสียงส่วนมากในการจัดตั้งรัฐบาล พรรคเสรีรวมไทยต้องเคารพ และจุดยืนคือไม่เข้าร่วมกับผู้ยึดอำนาจ

นายพิสิฐ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า มองโลกทุกวันนี้ด้วยความเป็นห่วง เพราะกำลังแบ่งฝักแบ่งฝ่ายออกเป็นสองพวก และเอเชียกำลังร้อนแรง ดังนั้น ในการกำหนดชะตาอนาคตของประเทศไทยต้องดูตามสภาวะของโลกที่เกิดขึ้นด้วย ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่สนับสนุนการบริหารประเทศด้วยการยึดอำนาจ เรามองว่าประเทศต้องการผู้นำที่มีความสุขุมรอบคอบ และพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นสถาบันการเมืองที่สนับสนุนประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน

นายนิกร พรรคชาติพัฒนากล้า ยืนยันว่า ไม่สนับสนุนรัฐบาลเสียงข้างน้อย และ ส.ว. ควรปิดสวิตช์ตัวเองได้แล้ว อย่าทำให้ประชาชนมองว่าสิ่งที่ตัวเองเลือกมาถูก คนไม่กี่คนมาล้มล้างสิ่งที่ประชาชนทั้งประเทศคิดและตัดสินใจ และหากยังดึงดันในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ตนเชื่อว่าเหตุการณ์จะบานปลาย จบไม่สวย ดังนั้น วิงวอน ส.ว. 250 ท่าน ปิดสวิตช์ตัวเอง เพราะไม่ควรงัดข้อกับประชาชนทั้งประเทศ

นายธีระชัย พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่าไม่เข้าร่วมกับรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่หากมีพรรคการเมืองที่พยายามจะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ก็ไม่แน่ใจว่า พล.อ.ประวิตร มีจุดยืนเรื่องนี้อย่างไร และตนมองว่าการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยภายในบริบทขณะนี้ ความเข้าใจของตนคือคงต้องใช้เสียง ส.ว. เข้ามาโหวตด้วย และคงทำให้เกิดข้อวิจารณ์ว่าใครเป็นผู้แต่งตั้ง ส.ว. เมื่อมาถึงตอนนี้กลับไม่ได้เสียงไว้วางใจจากประชาชน ผลงานไม่เข้าตา และมาจากอาศัย ส.ว. ที่ตนเองตั้งไว้ เพื่อจะทำให้จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย คงจะเกิดข้อวิจารณ์

ส่วนข้อวิจารณ์อีกประการคือเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลเสียงข้างน้อย คือการจัดตั้งรัฐบาลไปก่อน จากนั้นจะมีเสียงเข้ามาเพื่อให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากไปเองในที่สุด จึงทำให้เกิดคำถามว่าสิ่งที่จะเข้ามาเป็นงูเห่าหรือไม่ และถ้าเป็นงูเห่า เป็นเรื่องดี สำหรับระบบการเมืองไทยหรือไม่ ในเมื่อไม่ตรงใจกับสิ่งที่ประชาชนลงคะแนนเอาไว้จะยิ่งทำให้การบริหารเศรษฐกิจในอนาคตยากขึ้น.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

“ขัตติยา” ชี้ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก.

กทม. 10 ส.ค.-“ขัตติยา” สส.เพื่อไทย ชี้โพลฯ ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพสูง แต่ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ X ถึงผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล ที่ให้ความไว้วางใจกองทัพสูงกว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากชวนมองภาพให้ครบว่า ทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ล้วนทำงานร่วมเป็นทีมเดียวกัน ภายใต้ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยรวมเอาหลายภาคส่วนเข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้งกระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ทุกฝ่าย คือทีมไทยแลนด์ ที่แบ่งบทบาทหน้าที่และประสานงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ การรักษาอธิปไตยของประเทศ และปกป้องความปลอดภัยของชีวิตประชาชน แม้กองทัพจะมีบทบาทสำคัญเป็นด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน แต่ก็ไม่ได้ทำงานแยกเดี่ยวหรือเป็นอิสระจากภาคส่วนอื่นๆ หากทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกหน่วยงานภายใต้ร่มของ ศบ.ทก. ในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้เพียงลำพัง ความสำเร็จต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน.-314.-สำนักข่าวไทย

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดขณะลาดตระเวน สูญเสียขาอีก 1 นาย

12 ส.ค.- ทหารพรานเหยียบทุ่นระเบิด ขณะลาดตระเวนพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม หลังรั้วลวดหนามฝั่งไทย คาดทหารเขมรล่าถอยแล้วฝังทุ่นระเบิดไว้ เมื่อเวลา 09.10 น. รายงานข่าวจากกองทัพพื้นที่สองเปิดเผยว่า ได้เกิดเหตุทหารพราน 2610 เหยียบกับระเบิดขณะทำการลาดตระเวนบริเวณฐานจุ๊บตาโมก ฝั่งตะวันตกของปราสาทตาเมือนธม ซึ่งอยู่ในแนวรั้วลวดหนามของฝั่งประเทศไทย บริเวณพิกัด R51 มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย ทราบชื่อ ส.อ.ธีรพล เพียขันที กรุ๊ปเลือด AB ได้รับบาดเจ็บขาซ้ายขาด ขณะนี้กำลังนำส่งโรงพยาบาล ทั้งนี้ คาดว่าหลังจากเหตุปะทะกันทางทหารกัมพูชาได้ล่าถอยและฝั่งทุ่นระเบิดไว้ก่อนออกนอกพื้นที่เขตประเทศไทย -สำนักข่าวไทย

“แพทองธาร” ปัดตอบกระแสข่าวชิงลาออก บอกสื่อ “คิดถึงนะคะ”

สนามหลวง 12 ส.ค.- “แพทองธาร” ยิ้ม ปัดตอบกระแสข่าวชิงลาออก ก่อนศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน บอกสื่อฯ “คิดถึงนะคะ” ภายหลังนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมคู่สมรส ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 ส.ค.2568 ณ ท้องสนามหลวง ทันทีที่พบผู้สื่อข่าว นางสาวแพทองธาร หันมาพูดเพียงสั้น ๆ ว่า “คิดถึงนะ” ผู้สื่อข่าวจึงพยายามสอบถามเรื่องกระแสข่าวการลาออกจากตำแหน่ง ก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำตัดสิน คดีคลิปเสียงสนทนากับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งนางสาวแพทองธาร ยิ้มและไม่ตอบคำถาม ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ หรือสุดท้ายจะอยู่ รวมถึงขอให้ยืนยันว่าจะลาออกหรือไม่ ซึ่งนางสาวแพทองธาร ไม่ได้ตอบคำถาม และเดินทางขึ้นรถทันที.-315 -สำนักข่าวไทย

“ภูมิธรรม” นำทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันแม่แห่งชาติ

สนามหลวง 12 ส.ค.- “ภูมิธรรม” เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา “พระพันปีหลวง” 12 สิงหาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2568 โดยมีประธานองคมนตรีและภริยา คณะองคมนตรีและภริยา ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หน่วยราชการในพระองค์ คณะรัฐมนตรีพร้อมคู่สมรส เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการเหล่าทัพและภริยา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและภริยา ปลัดกระทรวงทุกกระทรวง และผู้แทนภาคเอกชน ร่วมพิธี โดยเมื่อนายภูมิธรรม เดินทางถึงปะรำพิธีท้องสนามหลวง สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ จำนวน 10 รูป ขึ้นนั่งอาสน์สงฆ์ นายภูมิธรรม จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ถวายคำนับและถวายธูปเทียนแพหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ จำนวน […]

เตือนทั่วไทยฝนตกต่อเนื่อง ‘ตะวันออก’ หนักสุด

กทม. 12 ส.ค.- กรมอุตุฯ เผยทั่วไทยฝนตกต่อเนื่อง เตือนภาคตะวันออกรับมือฝนถล่ม อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย เนื่องจากมีร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ ประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบน มีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1 – 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น “โพดุล” (PODUL) บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก คาดว่าจะเคลื่อนผ่านเกาะไต้หวัน และเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณด้านตะวันออกของประเทศจีนในช่วงวันที่ 13 – 14 ส.ค. โดยพายุนี้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย – สำนักข่าวไทย