ก.ดีอีเอส เร่งสกัดข้อมูลรั่วไหล หลังพบละเมิด 192 เรื่องใน 8 เดือน

นนทบุรี 16 พ.ย. – กระทรวงดิจิทัลฯ และ สคส. จัดประชุมมอบนโยบายเครือข่าย DPO เร่งดำเนินกลไกป้องกันเชิงรุก สกัดการรั่วไหลข้อมูลส่วนบุคคล หลัง 8 เดือน พบเหตุละเมิด 192 เรื่อง


กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จัดการประชุมเครือข่ายเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (DPO) กลุ่มภาครัฐ รวม 85 หน่วยงาน เพื่อยกระดับความเข้มข้นของการดำเนินงานศูนย์ PDPC Eagle Eye ในการเฝ้าระวังเหตุละเมิด พบ 8 เดือน เจอเหตุละเมิด 192 เรื่อง สาเหตุหลักมาจากการเผยแพร่ข้อมูลประชาชนโดยไม่มีกระบวนการปกปิดข้อมูลที่สำคัญ

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงดิจิทัลฯ ให้ความสำคัญเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของพี่น้องประชาชน โดยได้มอบนโยบายให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) กำกับดูแลหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด เฝ้าระวังและป้องปรามไม่ให้มีการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลประชาชนจากหน่วยงานต่างๆ นอกจากนี้ รัฐมนตรีได้สนับสนุนแนวทางการดำเนินงานของ สคส. ในการส่งเสริมการทำงานของเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (DPO) ให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงผลักดันการพัฒนาด้านการสร้างเครือข่าย DPO ที่เข้มแข็ง เพื่อทำให้เกิดกลไกที่จะช่วยให้กลุ่มของผู้ควบคุมข้อมูลและผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล สามารถดำเนินการปฏิบัติตามมาตรการทางกฎหมายอย่างเหมาะสมและเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในด้านมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัย ป้องกันไม่ให้เกิดการละเมิดหรือรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลที่อยู่ในความครอบครองของแต่ละหน่วยงาน


ทั้งนี้ ด้วยนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งเน้นการบูรณาการการทำงานเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์จากกรณีข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล ประกอบกับรัฐบาลและกระทรวงดิจิทัลฯ มีนโยบายในเครื่องยนต์ที่ 2 ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางดิจิทัล (Safety and Security) โดยเน้นการป้องกันเชิงรุก จึงทำให้การสร้างเครือข่าย DPO เป็นกลไกสำคัญในการช่วยให้การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น DPO จึงเปรียบเสมือนเป็น ‘Super Hero’ ผู้คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน’ ให้ปลอดภัยจากมิจฉาชีพและอันตรายต่าง ๆ

โดยสามารถป้องกันการรั่วไหลข้อมูลส่วนบุคคลได้ด้วยมาตรการดังนี้ 1. ตรวจสอบและดูแลให้หน่วยงานมีการปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA อย่างเคร่งครัด 2. ตรวจสอบเฝ้าระวังไม่ให้มีข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนรั่วไหลบนเว็บไซต์และช่องทางอื่น ๆ 3. ตรวจสอบไม่ให้มีการเก็บรวบรวมหรือเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนมากเกินความจำเป็น 4. จัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสำหรับเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล อาทิ การพิสูจน์ยืนยันตัวตน กำหนดสิทธิในการเข้าถึงและใช้งานข้อมูลฯ 5. จัดให้มีมาตรการกำกับดูแลเจ้าหน้าที่ภายในหน่วยงานไม่ให้มีการนำข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนไปขาย หรือเปิดเผยโดยมิชอบ 6. จัดให้มีการฝึกอบรมเพื่อสร้างองค์ความรู้และความตระหนักรู้ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้แก่เจ้าหน้าที่ภายในหน่วยงาน

นอกจากนี้ PDPC หรือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) โดย ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ได้ตอบรับนโยบายรัฐบาลและกระทรวงดิจิทัลฯ ด้วยการดำเนินมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเชิงรุกอย่างเข้มข้นและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยในช่วง 30 วันนับจากนี้จะเร่งตรวจสอบเชิงรุก เพื่อเฝ้าระวังและป้องปรามการรั่วไหลข้อมูลส่วนบุคคลจากหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน่วยงานภาครัฐ


PDPC จัดให้มีกลไกส่งเสริมการปฏิบัติหน้าที่ของ DPO ซึ่งประกอบไปด้วย กลไกการป้องกัน โดยจัดทำแบบตรวจแนะนำการกำกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Regulator Checklist) เพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือให้ DPO สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับกฎหมาย กลไกการป้องปราม โดยการจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ด้วยระบบ AI หรือ ศูนย์ PDPC Eagle Eye ทำหน้าที่สำรวจความเสี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลบนอินเทอร์เน็ต พร้อมดำเนินการติดตามและเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นสถิติ เพื่อใช้ในการประเมินและวิเคราะห์สถานการณ์ เพื่อที่จะนำข้อมูลไปประสานกับเครือข่ายเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และขยายผลบังคับใช้กฎหมายในกรณีตรวจพบการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล และกลไกการผนึกกำลัง โดยการประสานงานสร้างเครือข่าย DPO ทั่วประเทศ (DPO Network) เพื่อให้การทำงานของ DPO เกิดประสิทธิภาพที่เข้มแข็งและมั่นคงได้ในวงกว้าง และจะมีการจัดกิจกรรมมอบรางวัลเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลดีเด่น เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน และจากการจัดตั้งศูนย์ PDPC Eagle Eye การเฝ้าระวังตรวจพบเหตุละเมิดมากถึง 192 เรื่อง (สถิติวันที่ 1 เม.ย.-8 พ.ย.66) โดยมีสาเหตุการละเมิดมากที่สุดมาจากการเผยแพร่ข้อมูลประชาชนโดยไม่มีกระบวนการปกปิดข้อมูลที่สำคัญ (No Masking) 176 เรื่อง และประเภทหน่วยงานที่ตรวจพบมากที่สุด คือ หน่วยงานของรัฐ-รัฐวิสาหกิจ 154 เรื่อง รองลงมาเป็นธุรกิจการศึกษา 21 เรื่อง

ส่วนในฝั่งของการรับแจ้งเหตุละเมิด สคส.ได้รับแจ้งรวม 382 เรื่อง แบ่งเป็น ปี 2565 จำนวน 158 เรื่อง (1 มิ.ย.-31 ธ.ค.65) และปี 2566 จำนวน 224 เรื่อง (1 ม.ค.-8 พ.ย.66) โดยสาเหตุการละเมิด 5 อันดับแรก มาจากข้อมูลรั่วไหล 130 เรื่อง, ความบกพร่องของผู้ปฏิบัติงาน 82 เรื่อง, ไม่ปกปิดข้อมูลส่วนบุคคล 57 เรื่อง, เว็บไซต์ขายข้อมูล 43 เรื่อง และ มัลแวร์ 24 เรื่อง โดยประเภทธุรกิจที่รับแจ้งมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ การเงินการธนาคาร 118 เรื่อง, หน่วยงานของรัฐ-รัฐวิสาหกิจ 92 เรื่อง, ค้าปลีกและค้าส่ง 37 เรื่อง, การศึกษา 26 เรื่อง และเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม 17 เรื่อง

ช่องทางการติดต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) สามารถติดต่อเพื่อสอบถาม ขอคำปรึกษา หรือปรึกษาการยื่นเรื่องร้องเรียนได้ ในวันและเวลาราชการ โทรศัพท์ขอคำปรึกษาเกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล 02 114 8504 และ 02 141 6993 หรือ 02 142 1033, e-mail : saraban@pdpc.or.th และเว็บไซต์ : www.pdpc.or.th. -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

เปิดข้อเสนอสุดท้าย ทีมไทยแลนด์ ต่อรอง “ทรัมป์”

1 ส.ค. – เปิด 10 ข้อเสนอของทีมไทยแลนด์ ที่นำไปต่อรองกับสหรัฐ จนนำไปสู่การปิดดีลภาษีนำเข้าในอัตรา 19% จากที่ก่อนหน้านี้ถูกขู่ว่าจะเก็บสูงถึง 36% นอกจากตัวเลขภาษีนำเข้า สิ่งหนึ่งที่เชื่อว่าหลายคนต้องการรู้ นั่นก็คือข้อเสนอของทีมไทยแลนด์ ที่นำไปต่อรองกับสหรัฐ จนนำไปสู่การปิดดีลที่ 19% โดยสิ่งที่ไทยยอมแลก 10 ข้อหลักมีดังนี้ เรียกว่า ไทยยอมแลกหลายมิติ ทั้งเปิดตลาดให้สหรัฐ มากขึ้น ยกเว้นภาษีเกือบหมด, เพิ่มการนำเข้า, และร่วมมือด้านความมั่นคง แลกกับการที่ “ภาษีตอบแทน” ที่สหรัฐจะเก็บจากไทย ลดลงจาก 36% เหลือ 19%.-สำนักข่าวไทย

เคลียร์ BM21 หมู่บ้านกระสุนตก 5 ลูก อ.น้ำยืน อุบลฯ

อุบลราชานี 1 ส.ค. – เจ้าหน้าที่ทำลายหัวกระสุน BM21 ที่ทหารกัมพูชายิงเข้ามาตกในหมู่บ้านชายแดน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ทั้งหมด 5 ลูก มีทั้งที่ยังไม่ระเบิด และทำงานไม่สมบูรณ์ เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ระเบิดทำลายหัวกระสุน BM21 ที่ทหารกัมพูชายิงเข้ามาตกในหมู่บ้านชายแดน ในอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ซึ่งจากการสำรวจพื้นที่ ตลอด 2 วันที่ผ่านมา ใน 8 หมู่บ้าน 24 จุด พบกระสุน BM21 ทั้งหมด 5 ลูก มีทั้งที่ยังไม่ระเบิด และพร้อมทำงาน โดยในช่วงเช้าทำลาย 3 จุด จุดแรกอยู่บริเวณริมถนนสายน้ำยืน นาจะหลวย เจ้าหน้าที่ต้องปิดถนนทั้ง 2 ฝั่ง ก่อนขุดดินด้านบนแล้วหย่อนระเบิด C4 ลงไปในหลุมที่หัวกระสุน BM21 ตกแต่ไม่ระเบิด จากนั้นจึงจุดชนวนทำลายระเบิด ใช้เวลาเพียง 20 นาที หัวกระสุนถูกทำลายโดยไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ จุดที่ […]

ทูตทหาร 23 ประเทศ ลงพื้นที่จุดกัมพูชายิงถล่ม

ศรีสะเกษ 1 ส.ค. – วันนี้คณะทูตานุทูตและทูตทหาร รวม 23 ประเทศ ลงพื้นที่สังเกตการณ์ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ในพื้นที่ถูกกัมพูชาโจมตี และศูนย์พักพิง การลงพื้นที่ในวันนี้ทางประเทศไทยต้องการให้คณะทูตทั้ง 23 ประเทศได้เห็นข้อเท็จจริงและนำไปเผยแพร่ให้ประชาคมโลกได้รับรู้ จุดแรกคือปั๊ม ปตท.บ้านผือ ที่ถูกกัมพูชายิงจรวด BM21 โดยนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ บรรยายสรุปให้คณะได้รับฟังถึงเหตุการณ์วันแรกที่เกิดขึ้นและเหตุการณ์ต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีญาติผู้สูญเสียนำรูปผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว บอกเล่าเหตุการณ์ความสูญเสียจากที่เกิดขึ้นต่อคณะทูตานุทูตผ่านล่าม พร้อมเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิตที่ผู้บริสุทธิ์ ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย จากนั้นคณะทูตทหาร เดินทางลงพื้นที่ ต่อไปยังจุดกระสุนตกใส่พลเรือน ที่อาคารโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลชำเม็ง อ.กันทรลักษ์ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ส่งผลทำให้อาคาร รพ.สต. เสียหาย ที่นี่ ยังมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก มีเด็กเล็กอยู่ประจำกว่า 30 คน แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เนื่องจากทางจังหวัดได้ประกาศให้ชาวบ้านอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัยหรือศูนย์พักพิงชั่วคราว ตั้งแต่ 24 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันแรกที่ทางทหารกัมพูชาเปิดฉากยิง โดยนางเข็มจิรา จันทร์ทอง ผอ.รพ.สต.บ้านชำเม็ง บอกว่าถ้าวันนั้น หากยังไม่มีการอพยพ […]

ชาวบ้านผวาโดรนปริศนา บินว่อนพื้นที่บุรีรัมย์

บุรีรัมย์ 1 ส.ค. – ชาวบ้านหลายอำเภอในจังหวัดบุรีรัมย์ ผวาพบโดรนปริศนาบินว่อนหลายพื้นที่ เจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบ หวั่นเป็นของฝ่ายกัมพูชาเข้ามาบินสอดแนม ชาวบ้านหลายพื้นที่ของจังหวัดบุรีรัมย์ต่างหวาดผวา หลังยังพบโดรนปริศนาจำนวนหลายลำบินว่อนในหลายอำเภอ เช่น อ.เฉลิมพระเกียรติ อ.ละหานทราย อ.ประโคนชัย และ อ.บ้านกรวด แต่ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ถึงที่มาที่ไปของโดรนว่ามาจากไหน เพื่อจะได้ดำเนินการตามขั้นตอน หากเป็นของคนไทยก็จะนำตัวมาสอบถาม จุดประสงค์ในการบิน และอาจถูกดำเนินคดี เนื่องจาก ผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ ได้ออกประกาศห้ามอากาศไร้คนขับหรือโดรนบิน ในช่วงนี้เด็ดขาด หากฝ่าฝืนจะมีโทษตามกฎหมาย แต่หากเป็นโดรนฝ่ายกัมพูชาที่ลักลอบบินเข้ามาสอดแนมหรือจับพิกัดเป้าหมายสำคัญในไทย เจ้าหน้าที่จะเร่งหามาตรการป้องกันสกัดกั้น เพื่อความปลอดภัยและความมั่นคงของชาติ สำหรับภาพรวมสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย หลังเจรจาหยุดยิง ขณะนี้ยังไม่พบการปะทะกันขึ้น แต่โรงเรียนในพื้นที่แนวชายแดนทั้ง อ.บ้านกรวด และ อ.ละหานทราย รวม 85 แห่ง ยังคงปิดทำการเรียนการสอนอย่างไม่มีกำหนด ขณะที่จังหวัดยังไม่มีประกาศให้ชาวบ้านกลับเข้าบ้านพักได้ เพราะสถานการณ์ยังไม่น่าไว้วางใจ ประกอบกับต้องเคลียร์พื้นที่ก่อนเพราะมีกระสุนปืนใหญ่ตกในพื้นที่มากกว่า 240 ลูก.-สำนักข่าวไทย