เอฟดีเอสหรัฐแนะฉีดวัคซีนของไฟเซอร์ให้เด็ก 5-11 ปี
คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญที่เป็นที่ปรึกษาของสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ หรือเอฟดีเอ ลงมติแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิดของไฟเซอร์/ไบออนเทคให้เด็กอายุ 5-11 ปี
คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญที่เป็นที่ปรึกษาของสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ หรือเอฟดีเอ ลงมติแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิดของไฟเซอร์/ไบออนเทคให้เด็กอายุ 5-11 ปี
วอชิงตัน 19 ต.ค. – สื่อสหรัฐรายงานว่า สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐ หรือเอฟดีเอ เตรียมอนุมัติให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ต่างชนิดเป็นเข็มที่สามเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้แพทย์และเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้ฉีดวัคซีน หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ของสหรัฐรายงานอ้างแหล่งข่าวไม่เผยนามของเอฟดีเอว่า รัฐบาลสหรัฐจะไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนสูตรไขว้ และอาจตั้งข้อสังเกตว่าการใช้วัคซีนชนิดเดียวกันเป็นเข็มกระตุ้นจะดีกว่าการฉีดวัคซีนแบบผสม แต่จะให้ผู้ให้บริการฉีดวัคซีนใช้ดุลยพินิจในการตัดสินใจฉีดวัคซีนต่างชนิดได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของสหรัฐได้เรียกร้องมาตลอดหลายสัปดาห์ ข่าวเรื่องนี้มีขึ้นหลังจากคณะนักวิจัยได้นำเสนอผลการศึกษาการฉีดวัคซีนแบบผสมที่ได้รับทุนจากรัฐบาลกลางต่อคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญที่เป็นที่ปรึกษาของเอฟดีเอเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ผลการศึกษาดังกล่าวพบว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ซึ่งเป็นวัคซีนโดสเดียว และได้รับวัคซีนของโมเดอร์นาเป็นเข็มกระตุ้น มีระดับภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นถึง 76 เท่าในเวลา 15 วัน เมื่อเทียบกับการฉีดวัคซีนของจอห์สันแอนด์จอห์สันเป็นเข็มกระตุ้นที่ทำให้มีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นเพียง 4 เท่า นิวยอร์กไทมส์ยังรายงานเพิ่มเติมว่า หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐตั้งเป้าที่จะขยายสิทธิเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่สามให้ประชาชนเป็นจำนวนมากในสัปดาห์นี้ โดยคาดว่าเอฟดีเอจะอนุมัติให้ใช้วัคซีนของโมเดอร์นาและจอห์นสันแอนด์จอห์นสันเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นภายในช่วงค่ำวันพุธตามเวลาท้องถิ่น และอาจอนุญาตให้ฉีดวัคซีนแบบผสมหลังจากนั้น ทั้งนี้ คณะกรรมการที่ปรึกษาของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ หรือซีดีซี จะประชุมเรื่องการฉีดวัคซีนเข็มที่สามในวันพฤหัสบดีเพื่อประกาศคำแนะนำในการฉีดวัคซีน ซึ่งจะทำให้ชาวอเมริกันหลายสิบล้านคนมีสิทธิเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นภายในสุดสัปดาห์นี้. -สำนักข่าวไทย
วอชิงตัน 23 ก.ย. – สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐ หรือเอฟดีเอ อนุมัติฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 เข็มที่สามของไฟเซอร์/ไบออนเทคเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อสูง และผู้ที่ต้องทำงานในพื้นที่ที่ต้องสัมผัสกับเชื้อไวรัสเป็นประจำ การตัดสินใจดังกล่าวจะทำให้สหรัฐเปิดโครงการฉีดวัคซีนเข็มที่สามได้เร็วที่สุดภายในสัปดาห์นี้ และสามารถฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนหลายล้านคนที่ฉีดวัคซีนครบสองโดสมาเป็นเวลาเกินกว่า 6 เดือน ขณะที่แจเน็ต วูดค็อก รักษาการหัวหน้าคณะกรรมาธิการของเอฟดีเอ ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันพุธตามเวลาท้องถิ่นว่า การเปลี่ยนแปลงคำสั่งจากเดิมที่เอฟดีเออนุมัติฉีดวัคซีนเข็มที่สามเป็นกรณีฉุกเฉินจะทำให้กลุ่มคนต่าง ๆ เช่น เจ้าหน้าที่สาธารณสุข คุณครู พนักงานดูแลเด็ก พนักงานร้านขายของ ผู้ที่อยู่ในสถานสงเคราะห์คนไร้บ้าน หรือนักโทษ มีสิทธิได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ด้าน นพ. วิลเลียม ชาฟเนอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ของมูลนิธิโรคติดต่อแห่งชาติ หรือเอ็นเอฟไอดี กล่าวว่า แถลงการณ์ดังกล่าวของเอฟดีเอจะทำให้เกิดความครอบคลุมในกลุ่มผู้มีสิทธิเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่สามมากขึ้นเมื่อเทียบกับคำแนะนำก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้ ไฟเซอร์ได้ขอให้เอฟดีเอพิจารณาอนุมัติฉีดวัคซีนเข็มที่สามในกลุ่มคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป และยื่นเอกสารให้คณะที่ปรึกษาของเอฟดีเอ ซึ่งเป็นคณะกรรมการอิสระ เมื่อสัปดาห์ก่อน โดยระบุว่า ภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการฉีดวัคซีนนั้นลดลงเมื่อเวลาผ่านไป อย่างไรก็ดี คณะที่ปรึกษามีมติคัดค้านการฉีดวัคซีนเข็มที่สามให้ประชาชนทุกคน แต่ระบุว่ามีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าการฉีดวัคซีนเข็มที่สามมีประโยชน์ในกลุ่มผู้สูงวัยและผู้ที่เสี่ยงติดเชื้อสูง.-สำนักข่าวไทย
วอชิงตัน 14 ก.ย. – คณะนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำที่รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ หรือเอฟดีเอ และเจ้าหน้าที่ขององค์การอนามัยโลกระบุในวารสารการแพทย์เมื่อวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่นว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 เข็มที่สามเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันยังไม่จำเป็นต่อประชาชนทั่วไป คณะนักวิทยาศาสตร์ระบุในวารสารการแพทย์ ‘แลนเซต’ ว่า การตัดสินใจเกี่ยวกับความจำเป็นของการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น หรือระยะเวลาในการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ควรขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ข้อมูลทางคลินิกหรือข้อมูลด้านระบาดวิทยาอย่างรอบคอบ ขณะนี้ ยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดเกี่ยวกับความจำเป็นที่จะต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ประชาชนทั่วไป เนื่องจากประสิทธิภาพของวัคซีนต้านโรคโควิดยังคงอยู่ในระดับสูง ดังนั้น วัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจช่วยรักษาชีวิตผู้คนได้เป็นจำนวนมาก หากนำไปฉีดให้แก่ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ทั้งนี้ คณะผู้เขียนบทความดังกล่าวประกอบด้วยมาริยง กรูเบอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและตรวจสอบวัคซีน และฟิล ครอส ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายเดียวกันของเอฟดีเอ โดยที่ทั้งสองคนได้วางแผนลาออกจากเอฟดีเอในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ดี ทั้งสองคนระบุว่า ประชาชนบางคน เช่น ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น นอกจากนี้ บทความดังกล่าวยังมีผู้เขียนรายอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงนักวิทยาศาสตร์ระดับสูงขององค์การอนามัยโลก อย่างไรก็ดี บทความดังกล่าวถือว่าขัดแย้งกับแผนของรัฐบาลสหรัฐที่จะเริ่มฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ประชาชนที่ฉีดวัคซีนครบสองโดสเร็วสุดภายในสัปดาห์หน้า โดยขึ้นอยู่กับการพิจารณาของหน่วยงานกำกับดูแลด้านสุขภาพของสหรัฐในวันที่ 17 กันยายนนี้.-สำนักข่าวไทย
วอชิงตัน 13 ก.ค.- สำนักงานอาหารและยาสหรัฐหรือเอฟดีเอ (FDA) เตือนว่า วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ของจอห์นสันแอนด์จอห์นสันหรือเจแอนด์เจ (J&J) เสี่ยงทำให้เกิดความผิดปกติในระบบประสาทแบบหายาก หลังจากฉีดวัคซีนไปแล้ว 6 สัปดาห์ เอฟดีเอเพิ่มคำเตือนดังกล่าวในเอกสารสรุปข้อมูลสำคัญของวัคซีน โดยระบุในหนังสือที่ส่งถึงเจแอนด์เจว่า มีโอกาสต่ำมากที่จะเกิดอาการกิลแลง-บาร์เรหรือจีบีเอส (GBS) ซึ่งเป็นโรคระบบประสาทและกล้ามเนื้อที่ทำให้กล้ามเนื้ออัมพาตอ่อนแรงเฉียบพลันทั้งสองข้างหลังฉีดวัคซีน แต่ผู้ฉีดควรพบแพทย์หากมีอาการ เช่น อ่อนแรง เสียวแปลบปลาบ มีปัญหาในการเดินหรือขยับใบหน้า ปัจจุบันคนในสหรัฐฉีดวัคซีนของเจแอนด์เจไปแล้ว 12 ล้าน 8 แสนคน มีรายงานเบื้องต้นว่า มีผู้เกิดอาการจีบีเอส 100 คน ในจำนวนนี้ 95 คนอาการหนักต้องเข้าโรงพยาบาล และมีผู้เสียชีวิต 1 คน ด้านศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐหรือซีดีซี (CDC) แถลงว่า ผู้เกิดอาการส่วนใหญ่เป็นผู้ชายอายุ 50 ปีขึ้นไป และไม่พบว่าผู้ฉีดวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) มีความเสี่ยงนี้เพิ่มขึ้นจากที่คาดหมาย ที่ผ่านมาสหรัฐเคยมีผู้เกิดอาการจีบีเอสหลังฉีดวัคซีน เช่น การณรรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เอช1เอ็น1 ระบาดในปี 2519 และปี […]
สำนักงานอาหารและยาสหรัฐ หรือเอฟดีเอ อนุญาตให้โมเดอร์นา อิงค์ บรรจุวัคซีนลงขวดได้สูงสุดถึง 15 โดส เพื่อเร่งกำลังผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19