นายกฯ เดินชมเมืองเมลเบิร์น หลังร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ
นายกฯ เดินชมเมืองเมลเบิร์น กลับที่พัก หลังร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ รับรองผู้นำประเทศร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลียสมัยพิเศษ บอกอากาศดีขอเดินออกกำลังกาย
นายกฯ เดินชมเมืองเมลเบิร์น กลับที่พัก หลังร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ รับรองผู้นำประเทศร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลียสมัยพิเศษ บอกอากาศดีขอเดินออกกำลังกาย
ออสเตรเลียจะอนุญาตให้ประชาชนที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิดครบโดสเดินทางไปต่างประเทศได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ในขณะที่นครซิดนีย์และนครเมลเบิร์น ซึ่งเป็นสองเมืองใหญ่สุดของออสเตรเลีย เตรียมอนุญาตให้นักเดินทางต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสเดินทางเข้าเมืองได้โดยไม่ต้องกักตัว
เมลเบิร์น 5 ต.ค. – ออสเตรเลียจะสั่งซื้อยาเม็ดต้านเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘โมลนูพิราเวียร์’ ที่กำลังอยู่ในระหว่างการทดลองของเมอร์คแอนด์โคส์ จำนวน 300,000 โดส ขณะที่รัฐวิกตอเรียพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิดรายใหม่ทำสถิติสูงสุดของประเทศนับตั้งแต่เกิดการระบาด นายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสัน ของออสเตรเลีย เผยวันนี้ว่า ออสเตรเลียจะสั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ 300,000 โดส ยาดังกล่าวจะช่วยให้ทุกคนใช้ชีวิตร่วมกับเชื้อไวรัสโคโรนาได้ โดยคาดว่าออสเตรเลียจะได้รับยาดังกล่าวในช่วงต้นปีหน้า ทั้งยังระบุว่า ออสเตรเลียจะไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติไปจนถึงปีหน้า แต่จะให้ความสำคัญกับแรงงานอพยพย้ายถิ่นที่มีทักษะและนักเรียนต่างชาติก่อน ในขณะที่ออสเตรเลียตั้งเป้ากลับมาเปิดพรมแดนอีกครั้งในเดือนหน้าให้แก่ชาวออสเตรเลียและผู้พำนักถาวรที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิดครบสองโดสแล้ว ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายรายให้ความเห็นว่า ยาโมลนูพิราเวียร์จะช่วยลดโอกาสเสียชีวิตหรือเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลลงได้ครึ่งหนึ่งในกลุ่มผู้ที่เสี่ยงมีอาการรุนแรงหลังติดเชื้อโควิด ในขณะเดียวกัน รัฐวิกตอเรีย ซึ่งมีนครเมลเบิร์นเป็นเมืองเอก รายงานวันนี้ว่า พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 1,763 คน ทำลายสถิติสูงสุดของรัฐที่มี 1,488 คนเมื่อวันเสาร์ และตั้งเป้ากลับมาเปิดพรมแดนเมื่อฉีดวัคซีนครบสองโดสให้ประชาชนวัยผู้ใหญ่ได้ร้อยละ 70 ในเดือนตุลาคม โดยที่ขณะนี้มีอัตราฉีดวัคซีนครบสองโดสร้อยละ 53 ส่วนรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งมีนครซิดนีย์เป็นเมืองเอก รายงานว่า พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 608 คน ลดลงจากวันจันทร์ที่มี 623 คนและทำสถิติต่ำสุดในรอบ 7 […]
เมลเบิร์น 30 ก.ย. – นครเมลเบิร์นของออสเตรเลียพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 รายใหม่ 1,438 คน ทำสถิติสูงสุด ขณะที่เจ้าหน้าที่โทษการรวมตัวในบ้านของประชาชนอย่างผิดกฎหมายเพื่อชมการแข่งขันกีฬาสำคัญว่าเป็นต้นเหตุให้ตัวเลขผู้ป่วยพุ่งสูงขึ้นทั้งที่อยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์มาเป็นเวลาเกือบ 2 เดือนแล้ว เจ้าหน้าที่ของรัฐวิกตอเรีย ซึ่งมีนครเมลเบิร์นเป็นเมืองเอก รายงานวันนี้ว่า พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิดรายใหม่ 1,438 คน ในจำนวนนี้ คาดว่ามีผู้ป่วยกว่าร้อยละ 30 ที่ติดเชื้อมาจากการจัดงานเลี้ยงที่บ้านในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อชมการแข่งขันฟุตบอลออสเตรเลียน รูลส์ แกรนด์ ไฟนอล ทางโทรทัศน์ พร้อมยอมรับว่ายอดผู้ป่วยติดเชื้อของวันนี้ ซึ่งพุ่งขึ้นร้อยละ 50 จากตัวเลขผู้ป่วยของวันพุธที่มี 950 คน เป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ในการควบคุมโรคระบาดในขณะที่รัฐวิกตอเรียเร่งฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิดให้ประชาชนวัยผู้ใหญ่ราว 5.5 ล้านคน ด้านนายแดเนียล แอนดรูวส์ มุขมนตรีรัฐวิกตอเรีย กล่าวว่า ยอดผู้ป่วยติดเชื้อโควิดรายใหม่จำนวนมากเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาไม่อยากกล่าวโทษผู้ใด แต่เพียงต้องการอธิบายให้ทราบว่าตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้อย่างไร ขณะนี้ รัฐวิกตอเรียฉีดวัคซีนโดสแรกให้ประชาชนอายุ 16 ปีขึ้นไปได้กว่าร้อยละ 50 แต่ยังต่ำกว่าอัตราฉีดวัคซีนโดสแรกทั่วประเทศที่มีร้อยละ 53 ในขณะเดียวกัน รัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งมีนครซิดนีย์เป็นเมืองเอก รายงานวันนี้ว่า […]
เมลเบิร์น 21 ก.ย. – ตำรวจนครเมลเบิร์นของออสเตรเลียใช้กระสุนพริกไทยและกระสุนยางสลายกลุ่มผู้ชุมนุมหลายพันคนที่ฝ่าฝืนคำสั่งอยู่แต่ในบ้านด้วยการออกมารวมตัวกันสร้างความเสียหาย ปิดกั้นทางด่วน และทำร้ายเจ้าหน้าที่บาดเจ็บ 3 นาย ในขณะที่ตำรวจจับกุมผู้ชุมนุมได้กว่า 40 คน สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า วันนี้เป็นวันที่สองที่เกิดเหตุชุมนุมประท้วงต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ในนครเมลเบิร์น หลังทางการรัฐวิกตอเรีย ซึ่งมีนครเมลเบิร์นเป็นเมืองเอก สั่งปิดสถานที่ก่อสร้างเป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยระบุว่า การเดินทางของแรงงานก่อสร้างทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 นายเชน แพตตัน ผู้บัญชาการตำรวจรัฐวิกตอเรีย กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า เหตุประท้วงดังกล่าวถือเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายอย่างมากและเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย ขณะที่สถานีโทรทัศน์ของออสเตรเลียและสื่อโซเชียลมีเดียเผยแพร่คลิปวิดีโอที่แสดงให้เห็นว่า กลุ่มผู้ชุมนุมพากันเดินขบวนบนท้องถนน จุดพลุควัน ร้องเพลง และทำลายรถตำรวจ โดยที่มีตำรวจม้าและเจ้าหน้าที่สวมชุดปราบจลาจลล้อมรอบ กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้มีเพียงแรงงานก่อสร้าง แต่ยังมีผู้ต่อต้านการบังคับฉีดวัคซีนและการขยายคำสั่งล็อกดาวน์รัฐวิกตอเรีย โดยได้ประณามทั้งวัคซีน นายแดเนียล แอนดรูวส์ มุขมนตรีรัฐวิกตอเรีย และแกนนำสหภาพแรงงานที่สนับสุนนการฉีดวัคซีน นายแอนดรูว์ระบุว่า การกระทำที่รุนแรงและขัดขวางคำสั่งของทางการไม่ช่วยให้ยอดผู้ป่วยติดเชื้อโควิดรายใหม่ลดลง แต่กลับทำให้เชื้อไวรัสโคโรนาแพร่กระจายมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ คำสั่งปิดสถานที่ก่อสร้างมีขึ้นหลังเกิดการประท้วงต่อต้านคำสั่งฉีดวัคซีนที่ทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อวันจันทร์ โดยที่รัฐวิกตอเรียกำหนดให้แรงงานก่อสร้างทุกคนต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิดภายในสัปดาห์นี้. -สำนักข่าวไทย
เมลเบิร์น 21 ก.ย. – ออสเตรเลียสั่งปิดสถานที่ก่อสร้างในนครเมลเบิร์นเป็นเวลา 2 สัปดาห์ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หลังเกิดเหตุประท้วงรุนแรงเกี่ยวกับการต่อต้านข้อกำหนดฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 และพบยอดผู้ป่วยติดเชื้อโควิดรายใหม่พุ่งสูงขึ้นในรัฐวิกตอเรีย สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า คลิปวิดีโอที่เผยแพร่ในสื่อโซเชียลมีเดียแสดงให้เห็นฝูงชนหลายร้อยคนปะทะกับเจ้าหน้าที่สหภาพแรงงานของรัฐวิกตอเรีย ซึ่งมีนครเมลเบิร์นเป็นเมืองเอก รวมถึงขว้างขวดและลังใส่เจ้าหน้าที่ หลังทางการรัฐวิกตอเรียกำหนดให้แรงงานก่อสร้างทุกคนต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิดโดสแรกภายในวันศุกร์ที่ผ่านมา ขณะที่นายทิม พัลลาส รัฐมนตรีกระทรวงความสัมพันธ์อุตสาหกรรมของรัฐวิกตอเรีย ระบุในแถลงการณ์เมื่อค่ำวันจันทร์ว่า ทางการแจ้งให้อุตสาหกรรมดังกล่าวทราบเกี่ยวกับข้อกำหนดในการฉีดวัคซีนเมื่อสัปดาห์ก่อน และได้เห็นพฤติกรรมที่น่าตกใจในสถานที่ก่อสร้างและบนท้องถนน จนทำให้ทางการต้องจัดการขั้นเด็ดขาดโดยไม่ลังเล ด้านตำรวจรัฐวิกตอเรียเผยว่า มีผู้ประท้วงหลายคนถูกจับกุมหลังพวกเขาใช้เครื่องมือและหน่วยเชี่ยวชาญควบคุมฝูงชน ในขณะเดียวกัน รัฐวิกตอเรียรายงานวันนี้ว่า พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 603 คน ทำสถิติสูงสุดในปีนี้และเพิ่มขึ้นจากวันจันทร์ที่มี 567 คน โดยพบผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย ส่วนรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งมีนครซิดนีย์เป็นเมืองเอก พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 1,022 คน เพิ่มขึ้นจากวันก่อนที่มี 935 คน และพบผู้เสียชีวิตเพิ่ม 10 ราย ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดจากการระบาดครั้งล่าสุด 255 คน ขณะนี้ ออสเตรเลียมียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมราว 87,700 คน และผู้เสียชีวิตกว่า […]
รัฐวิกตอเรียของออสเตรเลียพบยอดผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 รายใหม่พุ่งสูงสุดในปีนี้ ขณะที่รัฐนิวเซาท์เวลส์พบยอดผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ต่ำสุดในรอบกว่า 3 สัปดาห์
นายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสัน ของออสเตรเลีย จะพยายามโน้มน้าวรัฐบาลท้องถิ่นและดินแดนของออสเตรเลียให้ปฏิบัติตามแผนเปิดประเทศอีกครั้งในวันนี้ ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวทางดังกล่าวหลังนครซิดนีย์และนครเมลเบิร์นยังคงพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 พุ่งสูงขึ้น
ซิดนีย์ 6 ส.ค. – รัฐนิวเซาท์เวลส์ของออสเตรเลียเตือนชาวนครซิดนีย์ให้เตรียมรับมือกับยอดผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ที่พุ่งสูงขึ้น หลังพบยอดผู้ป่วยติดเชื้อรายวันทำสถิติสูงสุดติดต่อกันเป็นวันที่สอง ขณะที่รัฐวิกตอเรียเข้าสู่วันแรกของการใช้มาตรการล็อกดาวน์เป็นครั้งที่หกตั้งแต่ช่วงหลังเที่ยงคืนวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น นางแกลดีส เบเรจิกเลียน มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งมีนครซิดนีย์เป็นเมืองเอก คาดการณ์ว่ายอดผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ในนครซิดนีย์จะพุ่งสูงขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยอ้างอิงจากแนวโน้มของตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อในช่วงที่ผ่านมา และขอให้ประชาชนเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ทั้งยังระบุว่า รัฐนิวเซาท์เวลส์พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 291 คน เพิ่มขึ้นจากเมื่อวานที่มี 262 คน ในจำนวนนี้ มีผู้ป่วยติดเชื้อในนครซิดนีย์มากถึง 279 คน เพิ่มขึ้นจากวันก่อนที่มี 259 คน และพบผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 เพิ่มอีก 1 คน ทำให้รัฐนิวเซาท์เวลส์มียอดผู้เสียชีวิตทั้งหมด 22 คนจากการะบาดครั้งล่าสุด โดยที่ผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นชาวนครซิดนีย์ ในขณะเดียวกัน รัฐวิกตอเรีย ซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของรัฐนิวเซาท์เวลส์และมีพรมแดนติดกัน ได้เข้าสู่วันแรกของการใช้มาตรการล็อกดาวน์เป็นครั้งที่หกนับตั้งแต่เกิดการระบาด และเตือนประชาชนว่ารัฐวิกตอเรียตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของรัฐกำลังพยายามสืบสวนแหล่งที่มาของผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่หลายคนที่ไม่พบความเชื่อมโยงกัน ทั้งยังรายงานวันนี้ว่า พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 6 คน ลดลงจากวันก่อนหน้าที่มี 8 คน ส่วนรัฐควีนส์แลนด์ ซึ่งมีนครบริสเบนเป็นเมืองเอก รายงานวันนี้ว่า […]
เมลเบิร์น เมืองเอกของรัฐวิกตอเรีย ทางตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย เข้าสู่มาตรการล็อกดาวน์เป็นครั้งที่ 5 ในวันนี้ เพื่อควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาแพร่ระบาด
เมลเบิร์น 15 ก.ค. – รัฐวิกตอเรียของออสเตรเลียประกาศล็อกดาวน์นครเมลเบิร์นเป็นเวลา 5 วันตั้งแต่เที่ยงคืนของวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น หลังพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ที่เชื่อมโยงกับการระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาในนครซิดนีย์ที่กำลังอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ รัฐวิกตอเรีย ซึ่งมีนครเมลเบิร์นเป็นเมืองเอก ระบุว่า จะสั่งให้ประชาชนราว 6.6 ล้านคนในนครเมลเบิร์นอยู่แต่ในบ้านตั้งแต่เที่ยงคืนของวันนี้ ยกเว้นผู้ที่จำเป็นต้องออกไปซื้อของ ทำงาน ออกกำลังกาย ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ หรือเข้ารับการฉีดวัคซีน คำสั่งล็อกดาวน์ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ห้าของนครเมลเบิร์น ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของออสเตรเลีย นับตั้งแต่พบการระบาดครั้งแรกในประเทศ และทำให้ชาวออสเตรเลียในนครเมลเบิร์นและนครซิดนีย์ที่มีประชากรรวมกันเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด 25 ล้านคนของออสเตรเลียต้องใช้ชีวิตภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ นายแดเนียล แอนดรูวส์ มุขมนตรีของรัฐวิกตอเรียกล่าวในงานแถลงข่าวถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ว่า ทางการต้องรีบใช้โอกาสในการควบคุมการระบาดในทันที เพราะถ้ามัวแต่รีรอ ลังเล หรือสงสัย ก็จะต้องมานั่งเสียใจภายหลังว่าทำไมไม่ลงมือทำเสียตั้งแต่แรก พร้อมทั้งระบุว่า เขาจะไม่พยายามหลีกเลี่ยงการล็อกดาวน์เป็นเวลา 5 วันแล้วส่งผลในเวลาต่อมาให้เกิดการล็อกดาวน์เป็นเวลา 5 สัปดาห์หรือ 5 เดือนในภายหลัง ก่อนหน้านี้ รัฐวิกตอเรียพยายามควบคุมการะบาดในชุมชนได้เป็นอย่างดีในขณะที่เกิดการระบาดในย่านชายหาดที่ตั้งอยู่แถบชานเมืองของนครซิดนีย์จนแพร่กระจายไปทั่วเมืองและพื้นที่โดยรอบเมื่อเดือนก่อน อย่างไรก็ดี ทีมพนักงานขนย้ายเฟอร์นิเจอร์จากนครซิดนีย์ได้เดินทางมาทำงานที่นครเมลเบิร์นในขณะที่ติดเชื้อและทำให้เกิดการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในอพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่งในสัปดาห์นี้ แม้รัฐวิกตอเรียแทบจะไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ แต่กลับพบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 18 คนในช่วงสองวันที่ผ่านมา ขณะนี้ […]
ออสเตรเลียเร่งค้นหาผู้มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกลุ่มผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 จำนวนหนึ่งในรัฐวิกตอเรียที่เชื่อมโยงกับการระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาในนครซิดนีย์ ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับการระบาดครั้งใหญ่และการใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้น