01 เมษายน 2568
แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถ
ตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล
ข้อมูลที่ถูกแชร์ :
ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคหัดในสหรัฐอเมริกา มีข่าวปลอมเกี่ยวกับโรคหัดและวัคซีนป้องกันโรคหัดเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อ โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์สหรัฐฯ แสดงความเห็นต่อสำนักข่าว Fox News เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2025 เพื่อให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการฉีดวัคซีน MMR ให้กับเด็กและทารก เพื่อป้องกันการติดเชื้อโรคหัดซึ่งกำลังระบาดในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี เนื้อหาส่วนหนึ่งมีการระบุถึงสรรพคุณของการใช้น้ำมันตับปลาซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินเอในการรักษาเด็กที่ป่วยจากโรคหัด รวมถึงการใช้ยาปฏิชีวนะและยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ในการรักษาผู้ป่วยโรคหัด
ข้อความดังกล่าว สร้างความกังวลให้กับบุคลากรในวงการแพทย์ เพราะมองว่าอาจจะทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าสามารรถใช้วิตามินเอ ยาปฏิชีวนะ หรือสเตียรอยด์ ในการรับมือต่อโรคหัดแทนการฉีดวัคซีน
บทสรุป :
- วิตามินเอมีประโยชน์อย่างมากกับการรักษาเด็กป่วยโรคหัดในประเทศกำลังพัฒนาที่ขาดวิตามินเอ
- แต่ไม่พบประโยชน์มากนักกับการรักษาเด็กป่วยโรคหัดในประเทศพัฒนาแล้ว
- วิตามินเอไม่สามารถทดแทนการป้องกันโรคหัดด้วยวัคซีนได้
FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง :
วิตามินเอกับโรคหัด
วิตามินเอ เป็นสารที่จำเป็นต่อร่างกาย พบได้ทั้งในสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ นม และพืชผัก เช่น ผักสีเขียว และผลไม้สีส้ม เหลือง และแดง
ปริมาณวิตามินเอที่เหมาะสมส่งผลดีต่อสุขภาพดวงตา การบำรุงผิว และการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
เนื่องจากการติดเชื้อโรคหัด อาจทำให้ร่างกายอยู่ในสภาวะขาดแคลนวิตามินเอ องค์การอนามัยโลก (WHO) และ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (CDC) ต่างแนะนำให้ใช้วิตามินเอรักษาเด็กที่ติดเชื้อโรคหัดในโรงพยาบาล
โดยแนะนำให้ใช้วิตามินเอวันละ 1 โดสเป็นเวลา 2 วัน และอาจต้องให้โดสที่ 3 ในอีกหลายสัปดาห์ต่อมาก หากเด็กมีสภาวะขาดแคลนวิตามินเอ
แม้การใช้วิตามินเอรักษาผู้ติดเชื้อโรคหัด จะเป็นที่ยอมรับจากทั้ง WHO และ CDC แต่การที่ประโยชน์จากวิตามินเอต่อผู้ป่วยโรคหัด เห็นอย่างชัดเจนในประเทศกำลังพัฒนาซึ่งมีประชากรขาดแคลนวิตามินเอจำนวนมาก ความจำเป็นของการใช้วิตามินเอต่อผู้ป่วยโรคหัดในสหรัฐอเมริกา จึงอาจยังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร
บทความ Cochrane review ปี 2005 กล่าวถึงงานวิจัย 3 ชิ้นที่สำรวจการใช้วิตามินเอรักษาผู้ป่วยโรคหัดในทวีปแอฟริกา พบว่าการใช้วิตามินเอช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของทารกอายุต่ำว่า 2 ขวบที่ป่วยด้วยโรคหัดถึง 80%
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยปี 1999 ในประเทศญี่ปุ่น และงานวิจัยปี 2021 ในประเทศอิตาลี ไม่พบประโยชน์ที่ชัดเจนของการใช้วิตามินเอรักษาผู้ป่วยโรคหัดในประเทศที่พัฒนาแล้ว
แต่เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่ประชาชนบางรายที่อาศัยในประเทศพัฒนาแล้ว อาจมีสภาวะขาดแคลนวิตามินเอ WHO จึงแนะนำให้ใช้วิตามินเอรักษาผู้ป่วยโรคหัด ไม่ว่าผู้ป่วยจะอาศัยอยู่ในประเทศใดก็ตาม
ความกังวลการใช้น้ำมันตับปลารับมือโรคหัด
โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ แนะนำการรักษาทางเลือกอื่น ๆ เพื่อรับมือกับการระบาดของไวรัสโรคหัด หนึ่งในนั้นคือน้ำมันตับปลาที่อุดมไปด้วยวิตามินเอและวิตามินดี
อย่างไรก็ดี ปัญหาของการใช้น้ำมันตับปลารักษาผู้ป่วยโรคหัดคือน้ำมันตับปลาไม่มีปริมาณวิตามินเอเพียงพอต่อการรักษาผู้ป่วยโรคหัด ในทางกลับกัน การบริโภคน้ำมันมากเกินจำเป็นกลับส่งผลเสียต่อร่างกาย
นอกจากนี้ การที่วิตามินเอเป็นวิตามินชนิดที่ละลายในไขมัน ทำให้ร่างกายกำจัดปริมาณวิตามินเอส่วนเกินในร่างกายได้ยากกว่าวิตามินชนิดที่ละลายในน้ำ
ดังนั้นการบริโภควิตามินเอมากเกินไป อาจนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า Hypervitaminosis A ที่ร่างกายได้รับวิตามินเอมากเกินไป ก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน การทำงานของตับผิดปกติ และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น ความผิดปกติของทารกในครรภ์ เพิ่มความเสี่ยงกระดูกหักในผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ วิตามินเอและสารบีตาแคโรทีน ที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในภายหลัง หากได้รับในปริมาณสูงผ่านการกินอาหารเสริม จะเพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งในกรณีที่ใช้ในผู้สูบบุหรี่
CDC ไม่ได้แนะนำให้กินน้ำมันตับปลาเพื่อรับมือโรคหัด
แม้ CDC จะแนะนำการใช้วิตามินเอในการรักษาผู้ป่วยโรคหัด และไม่มีข้อมูลที่กล่าวถึงการใช้น้ำมันตับปลากับผู้ป่วยโรคหัด เหมือนที่ โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ กล่าวอ้าง
แพทย์เตือนวิตามินเอไม่ได้ป้องกันโรคหัด
การที่วิตามินเอแนะนำให้ใช้รักษาผู้ป่วยโรคหัด แต่ไม่มีหลักฐานว่าวิตามินเอช่วยป้องกันการติดเชื้อโรคหัด การที่ โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ ออกมาให้ความสำคัญกับวิตามินเอพอ ๆ กับวัคซีน ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคหัด อาจสร้างความเข้าใจผิดว่าวิตามินเอสามารถใช้ทดแทนวัคซีนในการรับมือกับโรคหัดได้
พลเรือเอก เบรตต์ เจียร์วาร์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสุขภาพสหรัฐฯ ยุครัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ สมัยที่ 1 โพสต์ข้อความเตือนทาง X ว่า โปรดอย่าพึ่งพาแต่วิตามินเอเพื่อปกป้องเด็กจากโรคหัด วิตามินเอใช้ได้ผลในแอฟริกาที่เด็กขาดแคลนวิตามิน แต่ไม่ใช่ในสหรัฐอเมริกา
ดร. ฌอน โอ’เลียรี สมาชิกคณะกรรมการโรคติดเชื้อ สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา อธิบายว่า ไม่มีใครควรใช้วิตามินเอกับเด็กเพื่อหวังจะใช้เพื่อป้องกันการติดโรคหัด
ดร.ไมเคิล มินา ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ อดีตศาสตราจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ย้ำว่า โอกาสการรักษาด้วยวิตามินเอกับผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะขาดวิตามินเอ อยู่ในอัตรา 50-50 การใช้วิตามินรักษาผู้ป่วยโรคหัด ไม่สำคัญเท่าการใช้วัคซีนเพื่อป้องกันการติดโรคหัดตั้งแต่ด่านแรก
ยาปฏิชีวนะและยาสเตียรอยด์เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคหัด
โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ ยังแนะนำยาทางเลือกอื่น ๆ สำหรับรักษาผู้ป่วยโรคหัดทั้ง Clarithromycin ยาปฏิชีวนะที่ใช้ยับยั้งการเจริญเติบโตเชื้อแบคทีเรีย ทั้งบริเวณผิวหนังและในระบบทางเดินหายใจ และ Budesonide ยาสูดพ่นสำหรับรักษาอาการโรคหอบหืด
แต่กระนั้น Clarithromycin จะถูกใช้รักษาผู้ป่วยโรคหัดก็ต่อเมื่อผู้ป่วยเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ข้อมูลจากวาสาร New England Journal of Medicine เมื่อปี 2019 ระบุว่า ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะต่อผู้ป่วยโรคหัด นอกเหนือจากการรักษาอาการปอดอักเสบหรือการติดเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย
ส่วน Budesonide ซึ่งเป็นยาสูดพ่นที่มีสเตียรอยด์เป็นส่วนประกอบ ไม่ใช่ยาที่แนะนำให้ใช้กับผู้ป่วยโรคหัด นอกจากนี้ Budesonide ยังมีส่วนกดระดับภูมิคุ้มกันในร่างกาย จึงแนะนำให้ผู้ใช้ยานี้เลี่ยงการติดเชื้อโรคหัด เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะป่วยหนักจากการติดเชื้อโรคหัดได้
โรคหัดไม่มีแนวทางรักษาที่ชัดเจน แต่วัคซีนช่วยป้องกันได้อย่างมีประสิทธิผล
แดเนียล ฟิชเชอร์ กุมารแพทย์จากศูนย์การแพทย์ Providence Saint John’s Health Center มองว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโรคหัดในปัจจุบัน คล้ายกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เมื่อมีคนจำนวนหนึ่งเลี่ยงการฉีดวัคซีน เพราะเชื่อว่ามีวิธีรักษาโรคเมื่อมีการติดเชื้อ จากยาที่ไม่มีหลักฐานยืนยันประสิทธิผลด้านการรักษา
แอน หลิว รองศาสตราจารย์ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในแคลิฟอร์เนีย เตือนไปยังผู้ปกครองให้ตระหนักว่า ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาผู้ป่วยโรคหัดโดยตรง วิธีรับมืออันตรายจากโรคหัดที่ดีที่สุดในตอนนี้คือการป้องกันด้วยวัคซีนโรคหัดที่พิสูจน์แล้วว่าใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อมูลอ้างอิง :
https://www.factcheck.org/2025/03/rfk-jr-misleads-on-vitamin-a-unsupported-therapies-for-measles/
https://theconversation.com/robert-f-kennedy-jr-says-vitamin-a-protects-you-from-deadly-measles-heres-what-the-study-he-cites-actually-says-251465
https://www.healthline.com/health-news/vitamin-a-recommendation-measles-cdc
https://www.cdc.gov/han/2025/han00522.html
หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare
สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter