ชัวร์ก่อนแชร์: วัคซีน DTaP ไม่จำเป็นต่อทารก ภูมิธรรมชาติปลอดภัยกว่า จริงหรือ?

29 พฤศจิกายน 2567
แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถ
ตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล


ข้อมูลที่ถูกแชร์ :

มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับวัคซีน DTaP เผยแพร่ทาง Instagram ในต่างประเทศ โดยอ้างว่าวัคซีนรวมเพื่อป้องกันโรคคอตีบ โรคไอกรน และโรคบาดทะยัก ไม่ควรนำมาฉีดให้ทารก เพราะไม่มีความจำเป็น โดยอ้างว่าสัดส่วนการเสียชีวิตจากโรคไอกรนลดลงตั้งแต่ก่อนการผลิตวัคซีน DTaP และสัดส่วนการพบเด็กป่วยด้วยโรคคอตีบในปัจจุบันก็น้อยมาก นอกจากนี้ ภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อโดยธรรมชาติมีประสิทธิภาพมากกว่าวัคซีน


บทสรุป :

  1. แม้ยอดการเสียชีวิตจากโรคต่าง ๆ จะลดลงก่อนการผลิตวัคซีน แต่วัคซีนช่วยให้การระบาดของโรคลดลง
  2. ภูมิธรรมชาติจากการติดเชื้อโรคคอตีบและโรคไอกรน อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต
  3. การติดเชื้อโรคบาดทะยัก ไม่ทำให้ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันโรคบาดทะยัก

FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง :

วัคซีน DTaP ช่วยลดการติดเชื้อโรคไอกรนได้จริง


กราฟที่แสดงการเสียชีวิตจากโรคต่าง ๆ ก่อนการผลิตวัคซีนในสหรัฐอเมริกา ทั้ง โรคคอตีบ และ โรคไอกรน เป็นข้อมูลที่อ้างอิงจากเว็บไซต์ healthsentinel.com ซึ่งมีประวัติเผยแพร่เนื้อหาด้านสุขภาพด้วยข้อมูลที่น่าสงสัยในความถูกต้อง

นอกจากเป็นข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือแล้ว การนำยอดการเสียชีวิตที่ลดลงก่อนการผลิตวัคซีน มาด้อยค่าวัคซีน ถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะจุดประสงค์หลักของวัคซีน นอกจากลดโอกาสการเสียชีวิตแล้ว ยังลดโอกาสการติดเชื้อและป่วยจากโรคดังกล่าวอีกด้วย

เดวิด กอร์สกี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็ง ชี้แจงว่า การลดลงของยอดผู้เสียชีวิตจากโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน ยังมีปัจจัยจากการพัฒนาแนวทางการรักษาแบบบรรเทาอาการที่ดีขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น การคิดค้น Iron lung อุปกรณ์กระตุ้นการหายใจสำหรับผู้ป่วยเด็กที่เป็นอัมพาตจากการติดเชื้อโปลิโอ มีส่วนช่วยลดการเสียชีวิตของเด็กที่ป่วยด้วยโรคโปลิโอที่แพร่ระบาดในช่วงทศวรรษที่ 1940s และ 1950s อย่างมาก

อย่างไรก็ดี Iron Lung ช่วยให้ผู้ป่วยโปลิโอบางส่วนไม่เสียชีวิต แต่วัคซีนโปลิโอคือปัจจัยที่ทำให้จำนวนผู้ป่วยโรคโปลิโอลดลงอย่างมาก

เช่นเดียวกับการมาถึงของวัคซีน DTP หรือวัคซีนรวมสูตรต้นตำรับเพื่อป้องกันโรคคอตีบ โรคไอกรน และบาดทะยัก เมื่อถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายเป็นครั้งแรกในทศวรรษที่ 1940s ส่งผลให้ยอดการติดเชื้อโรคไอกรนในสหรัฐฯ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ในช่วงแรกที่วัคซีน DTP ถูกนำออกมาใช้ สัดส่วนการป่วยด้วยโรคไอกรนในสหรัฐฯ สูงกว่า 100,000 รายต่อปี จนถึงปี 1965 ยอดผู้ป่วยโรคไอกรนลดลงไม่ถึง 10,000 รายต่อปี

ผู้ป่วยโรคคอตีบลดลงเพราะวัคซีน

ในโพสต์อ้างว่า การฉีดวัคซีน DTaP ไม่มีความจำเป็นต่อการป้องกันโรคคอตีบ เพราะครั้งสุดท้ายที่พบผู้ป่วยโรคคอตีบในสหรัฐฯ คือ ปี 2003 และมีสัดส่วนการติดเชื้อตั้งแต่ปี 1980 เพียง 0-5 รายต่อประชากร 100,000 รายเท่านั้น

อย่างไรก็ดี ข้อมูลดังกล่าวอ้างมาจากหน่วยงานที่มีชื่อว่า National Vaccine Information Center ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีประวัติเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับวัคซีนอย่างต่อเนื่อง

ในช่วงทศวรรษที่ 1940s โรคคอตีบคือสาเหตุการเสียชีวิตหลักของทารกอเมริกัน จนกระทั่งการคิดค้นวัคซีน DTaP ในทศวรรษที่ 1940s ทำให้ยอดการเสียชีวิตลดลงอย่างมาก

สาเหตุที่โรคคอตีบเป็นโรคที่พบได้ยากในปัจจุบัน มาจากอานิสงส์ของการฉีดวัคซีน DTP หรือ DTaP ที่เป็นไปอย่างทั่วถึง จนแทบจะไม่มีการแพร่ระบาดของโรคคอตีบนประเทศที่ฉีดวัคซีนอย่างเพียงพอ

ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (CDC) ระบุว่า ในทศวรรษที่ 1990s พบผู้ป่วยโรคคอตีบไม่ถึง 1 รายต่อปี เนื่องจากมีการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึง โดยพบว่า 93% ของทารกอเมริกันได้รับวัคซีน DTaP จำนวน 3 โดสจาก 4 โดสที่แนะนำ

องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังพบว่า ในภูมิภาคที่การฉีดวัคซีนไม่ทั่วถึง จะพบการระบาดของโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน เช่น โรคคอตีบ และ โรคหัด

ภูมิธรรมชาติจากการติดเชื้อเป็นอันตราย

แม้ปัจจุบันจะไม่ค่อยพบผู้เสียชีวิตเพราะโรคคอตีบ โรคไอกรน และบาดทะยัก แต่การปล่อยให้ติดเชื้อและป่วยด้วยโรคดังกล่าว เพื่อหวังได้รับภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ป่วย

ผู้ป่วยโรคไอกรนจะมีน้ำมูกปริมาณมาก หากปิดกั้นหลอดลมจะก่อให้เกิดการไอที่ถี่และรุนแรง ในรายที่รุนแรงมาก ๆ อาจทำให้กระดูกซี่โครงหัก ทำให้หลอดเลือดแตก หรือทำให้เป็นไส้เลื่อน พิษจากแบคทีเรียโรคไอกรนอาจทำให้เกิดโรคปอดอักเสบ อาการชัก และภาวะสมองอักเสบ

โรคคอตีบที่เกิดได้บ่อยจากการติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจ จะทำให้ไข้ขึ้น เจ็บคอ เกิดเยื่อปิดกั้นหลอดลมก่อให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ พิษจากแบคทีเรียโรคคอตีบยังก่อให้เกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเส้นประสาทอักเสบ

โรคบาดทะยัก ทำให้ผู้ติดเชื้อกลืนอาหารลำบาก จากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ และนำไปสู่การชัก ซึ่งอาจมีความรุนแรงถึงขั้นทำให้กระดูกหักได้

มีเคสของเด็กชายชาวอเมริกันรัฐโอเรกอนเมื่อปี 2019 ที่ติดเชื้อบาดทะยักจากการถูกของมีคมบาดโดยที่ตัวเองไม่มีภูมิคุ้มกัน เขาต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลนาน 57 วัน โดยใช้เวลาอยู่ในห้องฉุกเฉิน 40 วัน และต้องเข้ารับการบำบัดเป็นเวลานานกว่าจะกลับมาเดินได้อีกครั้ง

โรคบาดทะยัก ยังแตกต่างจากโรคชนิดอื่น ๆ ที่การติดเชื้อไม่ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อโรค เนื่องจากพิษจากแบคทีเรียโรคบาดทะยักที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อ มีปริมาณน้อยเกินกว่าจะกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันในร่างกายมนุษย์ ดังนั้น ภูมิคุ้มกันจากโรคบาดทะยักจึงหาได้จากการฉีดวัคซีนเท่านั้น

ข้อมูลอ้างอิง :

https://www.politifact.com/factchecks/2022/oct/24/instagram-posts/dtap-vaccine-safe-and-effective/
https://healthfeedback.org/claimreview/dtap-vaccine-isnt-associated-sudden-infant-death-syndrome-whooping-cough-vaccine-historic-decline-cases/

ดูข่าวเพิ่มเติม

หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare

สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter

หมายเหตุ : โฆษณาที่ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์นี้ แสดงผลโดยอัตโนมัติจากบริษัทผู้ให้บริการโฆษณา ไม่ใช่การสนับสนุนหรือส่งเสริมจากศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์แต่อย่างใด

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“พี สะเดิด” เปิดใจเป็นมะเร็งเต้านมนานเกือบ 20 ปี แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงฮิต “จี่หอย” เผยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี ตัดสินใจหยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งต่อสู้กับโรค จนค่ามะเร็งดีขึ้น แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย “พี สะเดิด” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อายุ 46 ปี เปิดใจว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มาเกือบ 20 ปีแล้ว รักษาโรคนี้โดยที่ไม่บอกใครเลย เพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้าอก และพบว่าก้อนเนื้อมันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว คิดว่าเป็นเพราะไม่ดูแลตัวเอง ทำงานหนัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอดทุก 6 เดือน พอเช็กดูเลยรู้ว่ามีเชื้อมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าโอกาสน้อยที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน พี สะเดิด บอกว่าตอนแรกก็กลัว เลยตัดสินใจหันหน้าเข้าทางธรรม และปรับปรุงตัวเองควบคู่กันไป กินของที่มีประโยชน์ หยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง จนตอนนี้อยู่ทุกระยะค่ามะเร็งดีขึ้น ค่อยๆ ลดลงมา จนเหลือ 0 […]

“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ

รัฐสภา 13 ส.ค.-“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาแล้ว ด้าน “อนุสรณ์” แจงยัน กมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่า แต่ตรวจเช็กความพร้อมให้ทหาร การอภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม วงเงิน 9.51 หมื่นล้านบาท นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ปีนี้ตัดงบกระทรวงกลาโหมยาก เมื่อถามหารายละเอียดจะมีคนพูดว่าปล่อยไปเถอะ ตอนนี้มีสถานการณ์ชายแดน ซึ่งตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณ เพราะเป็นห่วงทหารหน้างานเช่นกัน เลยต้องดูงบประมาณว่าใช้ถูกจุดหรือไม่ นายชยพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเห็นงบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ คิดว่าเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดแต่กลายเป็นว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับม้า ตนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูว่าใส่ใจทหารมากแค่ไหน แต่กลับไม่พบอุปกรณ์สำหรับขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร อยากถามว่าเราใส่ใจบุคลากรของเราจริงหรือไม่ และที่ข้องใจคือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฏว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลย จะมีใครได้อยู่ใช้หรือไม่ “นี่เป็นเหตุผลว่าแม้อยู่ในความขัดแย้งแต่ต้องตรวจสอบกองทัพอย่างเข้มข้น การที่รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้กองทัพโดยไม่ตรวจสอบ คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ คนที่ชอบออกมาพูดเชียร์ทหารอยากให้คิดไว้ด้วยว่า หากรักชีวิตทหารจริง ก็อยากให้ฟังทหารชายแดนว่าเขาลำบากอย่างไร การทำงานของนายพลสะท้อนความต้องการคนเหล่านั้นจริงหรือไม่” ด้าน นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า […]

“สืบพงษ์” ขึ้นศาลสืบพยานนัดแรก กรณียื่นฟ้องรักษาการอธิบดี ม.รามฯ ข้อหาเบิกความเท็จ

ศาลอาญา 13 ส.ค. – ศาลนัดสืบพยาน “สืบพงษ์” ยื่นฟ้อง รักษาการ อธ.รามคำแหง พร้อมพวก ข้อหาเบิกความเท็จถูกยื่นถอดถอนเมื่อปี 65 ชี้ “ฮุนเซน” ทิ้งใบปริญญาลงโถส้วมเป็นการไม่ให้เกียรติมหาวิทยาลัย วอนยุติพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานที่ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาการอธิการบดี ม.รามคำแหง กับพวกรวม 2 คน ในความผิดฐาน “ฟ้องเท็จ / เบิกความเท็จ นายสืบพงษ์ เปิดเผยว่า ศาลนัดสืบพยานนัดแรกในคดีที่ตนได้ฟ้องผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงฟ้องตนที่ศาลแขวงพระนครเหนือโดยกล่าวหาตนว่ากระทำตนเป็นเจ้าพนักงานทั้ง ๆ ที่ไม่มีอำนาจ จากนั้นทางศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งได้ดำเนินคดีที่ศาลอาญาในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ โดยวันนี้ตนเองเป็นพยานปากแรกที่ขึ้นเบิกความในวันนี้และจะมีพยานทั้งหมด 5 ปาก สืบพยานในวันนี้และวันที่ 14 ส.ค. ส่วนประเด็นที่ถูกถอดถอนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2565 นั้น มีการถอดถอนตนเองทั้งหมด 2 ครั้ง หลังจากที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้ […]

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

ข่าวแนะนำ

“ลุงพล” นอนคุกยาว ศาลไม่ให้ประกันตัว เกรงหลบหนี

14 ส.ค. – ศาลฎีกายกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ประกันตัว “ลุงพล” คดีน้องชมพู่ ชี้เป็นคดีร้ายแรง เกรงจะหลบหนี ส่งผลให้ลุงพลต้องนอนคุกระหว่างฎีกา นายประยุทธ เพชรคุณ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลสูงภาค 4 กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เพิ่มโทษ “ลุงพล” ในคดีฆ่าเด็กหญิงอรวรรณ หรือน้องชมพู่ อายุ 3 ปี รวมเป็น 26 ปี เมื่อวานนี้ ลุงพลยื่นประกันตัวและศาลจังหวัดมุกดาหารส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา เรื่องการปล่อยชั่วคราว โดยวันนี้ศาลฎีกา ได้มีคำสั่งออกมาว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง กระทบต่อสังคมเป็นการลงโทษสถานหนัก ทั้งศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษให้จำคุก 26 ปี และเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกา ยกคำร้องการประกันตัว ส่งผลให้จำเลยต้องคุมขังอยู่ในเรือนจำระหว่างฎีกา ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 ส.ค.) เจ้าหน้าที่จะนำตัวลุงพลไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดนครพนม เนื่องจากโทษจำคุกสูง.-สำนักข่าวไทย

บุกชิงทอง

ควงปืนชิงทองกลางห้างดังย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท ขี่ จยย.หนี

สมุทรปราการ 14 ส.ค. – คนร้ายสวมชุดไรเดอร์ควงปืนจี้ชิงทอง ร้านทองกลางห้าง ย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท มูลค่ากว่า 8 ล้านบาท ก่อนขี่จักรยานยนต์หลบหนี ตำรวจเร่งล่าตัว เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ เกิดเหตุอุกอาจภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านบางบ่อ จ.สมุทรปราการ คนร้ายรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดไรเดอร์ ใส่หมวกกันน็อกเต็มใบ สะพายกระเป๋าข้าง บุกเข้าไปในร้านทองพร้อมใช้อาวุธปืนข่มขู่พนักงาน กวาดสร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำ น้ำหนักรวมราว 163 บาท หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท วิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า เอ็นแม็ก ที่จอดอยู่ด้านหน้า ขี่หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้าง ให้ข้อมูลว่า เห็นคนร้ายเดินเข้ามา จึงบอกให้ถอดหมวกกันน็อก แต่คนร้ายไม่สนใจ ก่อนบุกเข้าไปก่อเหตุในร้านทอง พนักงานชายร้านทอง เล่าว่า ผู้ก่อเหตุปีนเข้ามาแล้วพูดว่า ‘หยิบทองมา’ จึงสั่งให้น้องพนักงานหมอบลงเพื่อความปลอดภัย เพราะเห็นว่าคนร้ายมีอาวุธปืน และไม่เคยเห็นหน้าของคนร้ายมาก่อน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และตำรวจ สภ.บางบ่อ พร้อมผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ อยู่ระหว่างตรวจสอบที่เกิดเหตุ เร่งไล่ล่าตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป. – […]

เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด

กทม.14 ส.ค.- เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด อ้างอิงเหตุการณ์คลิปเสียง และพฤติการณ์ที่นิ่งเฉย ไม่กำหนดมาตรการหรือความชัดเจนตอบโต้กัมพูชาในช่วงปะทะ ไล่เลียงตั้งแต่กัมพูชารุกล้ำพื้นที่อธิปไตยไทย 200 เมตร จนถึงวันปล่อยคลิปเสียง 18 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในคำร้องของ 36 สว. ต่อกรณีคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ที่ศาลนัดวินิจฉัยคำร้องในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ซึ่งในคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบกับมาตรา 160 (4)(5) ในเนื้อหาคำร้องอ้างอิงถึงคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ที่มีการเอ่ยพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 แม้นายกรัฐมนตรีพยายามแถลงข่าวชี้แจงกรณีคลิปเสียง แต่สมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้น เพราะเมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียงเช่นนี้แล้ว นายกรัฐมนตรีย่อมพยายามจะต้องหาข้อแก้ตัวอย่างไรก็ได้ โดยสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า หากนายกรัฐมนตรีมีเจตนาเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบระหว่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติจริง นายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักและมาตรฐานการดำเนินการที่ถูกต้องอย่างโปร่งใส ตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ประการสำคัญ […]

“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ชายแดนสันติ

จีน 15 ส.ค.-“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ปัญหาชายแดนอย่างสันติ พร้อมขอบคุณที่เห็นความจำเป็นในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เห็นพ้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตอบรับคำเชิญของ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ในการเข้าร่วมจิบน้ำชาและหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ไทย และกัมพูชา ในห้วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong – Lancang Cooperation) หรือ MLC ครั้งที่ 10 ณ เมืองอันหนิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนายมาริษ ได้แสดงความขอบคุณต่อบทบาทที่สร้างสรรค์ของจีน ในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาอย่างสันติ ผ่านกลไกทวิภาคีต่างๆ และการบังคับใช้ให้เกิดการดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยได้รับการสนับสนุนของอาเซียน พร้อมยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วน ที่ไทย-กัมพูชา ต้องร่วมมือกันในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน ซึ่งทุกฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันถึงความจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล เนื่องจากเป็นก้าวสำคัญในการลดความตึงเครียด และฟื้นฟูความเป็นปกติสุขในพื้นที่ชายแดน นอกจากนี้ นายมาริษ ยังได้กล่าวขอขอบคุณ นายหวัง อี้ […]