ชัวร์ก่อนแชร์ : น้ำตาเทียม ใช้มากส่งผลให้ “ไตวาย ไตเสื่อม” จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์มีการแชร์ข้อความว่า “น้ำตาเทียม” เมื่อใช้นาน ๆ อาจทำให้ “ไตวาย ไตเสื่อม” ได้ เรื่องนี้จริงหรือ ?


🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ศาสตราจารย์วุฒิคุณ นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานวิชาการ ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย

โดยปกติแล้วคนเรามี “น้ำตา” ทำหน้าที่ให้ออกซิเจนและความชุ่มชื้นแก่กระจกตาและเยื่อบุตา ช่วยปรับสภาพของกระจกตาให้มีความเรียบเพื่อการมองเห็นที่ชัดเจน และช่วยป้องกันการติดเชื้อและขจัดของเสียออกจากกระจกตา


เมื่อใดก็ตามที่น้ำหล่อเลี้ยงกระจกตาระเหยไป หรือร่างกายผลิตน้ำตาธรรมชาติไม่เพียงพอที่จะใช้ในการหล่อเลี้ยงกระจกตาและเยื่อบุตา จะทำให้เกิดอาการตาแห้ง ตาแดง ระคายเคืองตา แสบตา และตาพร่า ซึ่งเป็นสาเหตุให้ต้องใช้ “น้ำตาเทียม” เพื่อช่วยหล่อเลี้ยงและให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตา

“น้ำตาเทียม” คือยาหยอดตารูปแบบหนึ่ง ผลิตจากสารสังเคราะห์คล้ายน้ำตาธรรมชาติเพื่อทดแทนน้ำตาธรรมชาติ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นหรือหล่อลื่นดวงตา ใช้สำหรับบรรเทาอาการตาแห้ง

น้ำตาเทียม ทำให้ไตวาย ไตเสื่อม จริงหรือ ?


เรื่องนี้ไม่จริง ยังไม่พบผู้ป่วยไตเสื่อม ไตวาย จากการใช้น้ำตาเทียมที่ผลิตจากสารที่มีส่วนประกอบคล้ายกับน้ำตาธรรมชาติของคนเรา

น้ำตาธรรมชาติแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ น้ำตาพื้นฐาน น้ำตาจากสิ่งเร้าภายนอก น้ำตาจากอารมณ์

1. น้ำตาพื้นฐาน (Basal tears) คือน้ำที่ฉาบลูกตาอยู่ตลอดเวลา สร้างจากเซลล์ที่อยู่รอบ ๆ เยื่อบุตาขาว ช่วยสร้างความหล่อลื่น บำรุงและปกป้องกระจกตา ทั้งยังเป็นเกราะป้องกันดวงตาจากฝุ่นผงต่าง ๆ

2. น้ำตาจากสิ่งเร้าภายนอก (Reflex tears) เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อสิ่งระคายเคือง เช่น ควัน ลม ฝุ่น รวมถึงสารบางชนิดเวลาหั่นหัวหอมมีน้ำตาไหลออกมา

3. น้ำตาจากอารมณ์ (Emotional tears) น้ำตาที่ไหลออกมาตอบสนองต่ออารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ เช่น เสียใจ ดีใจ หวาดกลัว

ปัจจุบัน คนมีปัญหาน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาแห้ง หรือภาวะ “ตาแห้ง” (Dry eye) การใช้น้ำตาเทียมจึงเพิ่มมากขึ้น เพราะเมื่อใช้น้ำตาเทียมหยอดตาแล้วรู้สึกสบายตาและลดอาการตาแห้งได้

น้ำตาเทียมทาผิวหนังทดสอบการดูดซึม และเคาะไตเพื่อประเมินการทำงานของไต เรื่องนี้จริงหรือ ?

กรณีที่อ้างถึงวิธีการทดสอบน้ำตาเทียมว่าทำให้เกิดไตอักเสบโดยการเคาะไตนั้น ตามมาตรฐานการแพทย์สาขาวิชาโรคไต อายุรแพทย์จะใช้วิธีการเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ เพื่อประเมินการทำงานของไต ซึ่งยังไม่เคยพบว่าอายุรแพทย์โรคไตวินิจฉัยโรคด้วยการเคาะไต ดังนั้นถ้าสงสัยว่าเป็นโรคไตควรไปสถานพยาบาลเพื่อตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ย่อมจะดีกว่าถูกเคาะไต

นอกจากนี้ สิ่งที่แชร์กันมีการนำน้ำตาเทียมทาผิวหนังบริเวณแขน 5 นาที ซึ่งเป็นวิธีการทดสอบที่ไม่เป็นมาตรฐานสากลเนื่องจากการดูดซึมยาที่บริเวณดวงตากับที่ผิวหนังแตกต่างกัน การทดสอบดังกล่าวจึงขาดความน่าเชื่อถือ และน้ำตาเทียมผลิตขึ้นมาเพื่ออวัยวะบริเวณดวงตาที่มีระบบการดูดซึมแตกต่างจากยาทาผิวหนังชนิดอื่น

ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลทางวิชาการที่น่าเชื่อถือได้ว่าน้ำตาเทียม (รูปแบบที่มีสารกันบูดและไม่มีสารกันบูด) มีผลทำให้เกิดภาวะไตวาย-ไตเสื่อม ส่วนใหญ่แล้วผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจะเป็นแบบเฉพาะที่ (เช่น ระคายเคือง คันตา) เพราะน้ำตาเทียมนั้นจัดอยู่ในกลุ่มยาที่ออกฤทธิ์แบบเฉพาะที่

การใช้น้ำตาเทียมกับอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย

โดยทั่วไป น้ำตาเทียม 1 หยด มีปริมาณ 50 ไมโครลิตร จะสังเกตได้ว่าเมื่อหยอดน้ำตาเทียมแล้ว น้ำตาเทียมจะอยู่บริเวณอุ้งลูกตาด้านในประมาณ 15-20 ไมโครลิตร และอีกประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์จะไหลออกนอกลูกตา เพราะฉะนั้นโอกาสที่น้ำตาเทียมจะเข้าสู่ร่างกายจึงมีปริมาณน้อยอยู่แล้ว

หลังจากหยอดน้ำตาเทียมแล้ว ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของน้ำตาเทียมจะระบายออกทางท่อน้ำตาที่อยู่บริเวณหัวตาทั้ง 2 ข้าง ไหลลงไปที่จมูก

บางครั้งจะสังเกตเห็นว่าหลังหยอดน้ำตาเทียมแล้วจะมีน้ำมูกไหล หรือรู้สึกมีอาการขมบริเวณคอ ซึ่งในส่วนนี้มีปริมาณน้อยมาก

ถ้าองค์ประกอบของน้ำตาเทียมไม่ได้เป็นสารอันตรายก็จะไม่เกิดผลต่อระบบร่างกายแต่อย่างใด

น้ำตาเทียมบางส่วนอาจจะหมุนเวียนเข้าสู่กระแสเลือดได้ (ในปริมาณที่น้อยมาก) เพราะน้ำตาเทียมผ่านการดูดซึมบริเวณเยื่อบุด้านในของจมูกและกลับเข้าสู่กระแสเลือดได้ แต่การที่จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อระบบร่างกายของคนเราได้นั้น หมายถึงสารพิษมีปริมาณค่อนข้างมากและต่อเนื่อง

กรณีน้ำตาเทียมซึ่งเป็นสารที่พยายามทำเลียนแบบธรรมชาติซึ่งมีปริมาณน้อยมากที่อยู่บริเวณดวงตาและดูดซึมเข้าสู่ระบบร่างกาย ไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายหรือไตอย่างที่เป็นข่าว

“น้ำตาเทียม” ถือว่าเป็นยาหยอดตาที่ค่อนข้างปลอดภัย พบคนที่แพ้น้อยกว่ายาหยอดตาชนิดอื่น เช่น ยาปฏิชีวนะ หรือยาลดความดันตา ซึ่งเป็นสารเคมีที่ออกฤทธิ์ต่อระบบร่างกาย

ถ้ามีโรคประจำตัวจะต้องบอกจักษุแพทย์ เพราะโรคประจำตัวบางโรคไม่สามารถใช้ยาหยอดตาบางตัวได้

มีหลายวิธีช่วยลดปัญหาตาแห้ง ?

ปัจจุบัน คนมีปัญหาเรื่อง “ตาแห้ง” มากขึ้น ทั้งคนวัยทำงานและผู้สูงอายุ มีข้อแนะนำดังนี้

1. ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เป็นความเสี่ยงทำให้ตาแห้ง ที่พบได้บ่อยคือการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์และหน้าจอโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน ทำให้อัตราการกะพริบตาตามธรรมชาติของคนเราซึ่งควรอยู่ที่ประมาณ 8-12 ครั้งต่อนาทีลดลง ทำให้น้ำหล่อเลี้ยงลูกตา (อยู่ด้านบนของเปลือกตาด้านใน) ซึ่งจะต้องกะพริบลงมาทำความสะอาดกระจกตาและฉาบอยู่ลดน้อยลง

2. ถ้าทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ดูโทรศัพท์มือถือ หรือจ้องจอโทรทัศน์ แนะนำว่าควรจะต้องกะพริบตาบ่อย ๆ อย่างน้อย 8-12 ครั้งต่อนาที และจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม ไม่ควรนั่งอยู่บริเวณที่มีลมธรรมชาติ ลมจากพัดลม หรือลมจากเครื่องปรับอากาศตกใส่บริเวณดวงตา

3. ตำแหน่งการวางจอคอมพิวเตอร์ ถ้ามีการวางจอคอมพิวเตอร์สูงกว่าระดับสายตา จึงต้องเปิดลูกตาและเปลือกตามากขึ้น ทำให้เกิดการระเหยของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาได้มาก แต่การวางจอคอมพิวเตอร์มุมที่ต่ำลงจะช่วยลดอาการตาแห้งลงได้

นอกจากนั้น บางคนอาจเกิดอาการตาแห้งจากผลข้างเคียงของยา เช่น คนที่กินยาแก้แพ้ หรือหยอดยาแก้แพ้บางชนิด ยาลดความดันเลือดสูงบางชนิด หรือยาต้านซึมเศร้า ก็อาจจะมีผลข้างเคียง ใครที่ใช้ยาอะไรเป็นประจำแล้วรู้สึกมีอาการเคืองตา ตาฝืด ตาแห้ง ก็ควรปรึกษาแพทย์ที่ให้ยาว่าใช่ผลข้างเคียงของยาหรือไม่

หลังจากแก้ปัญหาที่ต้นเหตุแล้ว สิ่งที่จะช่วยชดเชยน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาตามธรรมชาติได้ก็คือน้ำตาเทียม

ชนิดของน้ำตาเทียม

“น้ำตาเทียม” โดยทั่วไปมี 2 ชนิดตามรูปแบบการใช้งานตามบรรจุภัณฑ์ คือ ชนิดขวด (น้ำตาเทียมแบบรายเดือน) ชนิดหลอด (น้ำตาเทียมแบบรายวัน)

1. น้ำตาเทียมแบบรายเดือน (multiple-dose) มีลักษณะพิเศษคือ 1 ขวดสามารถใช้ได้ประมาณ 1 เดือน ที่อยู่ได้นานเพราะในขวดมีสารกันแบคทีเรียเติบโต เรียกง่าย ๆ ว่าสารกันบูด (preservatives) ข้อจำกัดของสารกันบูดที่ทำให้ยานี้อยู่ได้เป็นเดือนก็คือตัวสารนี่แหละที่อาจจะระคายเคืองตาได้ถ้ามีการหยอดบ่อยเกินไป โดยทั่วไปแนะนำให้หยอดวันละไม่เกิน 4 ครั้ง

2. น้ำตาเทียมแบบรายวัน (single-dose) น้ำตาเทียมชนิดนี้บรรจุในหลอดขนาดเล็ก ควรเปิดใช้ให้หมดแบบวันต่อวัน นั่นคือประมาณ 24 ชั่วโมงหลังจากเปิดใช้ครั้งแรก เพราะเป็นน้ำตาเทียมบริสุทธิ์ปราศจากสารกันบูด (preservative-free) เหมาะกับผู้ที่แพ้สารกันบูด และน้ำตาเทียมชนิดนี้สามารถหยอดวันละหลายครั้งได้

ปัญหาเรื่องตาแห้ง สิ่งที่จะต้องจัดการก่อนคือ มองหาปัจจัยเสี่ยง เช่น ยาที่กิน โรคประจำตัวบางชนิด ที่คุณหมอบอกว่าอาจจะทำให้ตาแห้งได้ เช่น โรคข้อบางชนิด โรคภูมิคุ้มกันตัวเองบางชนิด หรือคนที่กำลังได้รับเคมีบำบัด ก็จะมีผลทำให้น้ำหล่อเลี้ยงลูกตาแห้งช่วงนั้นได้ รวมถึงการปรับพฤติกรรมแล้ว สามารถทำให้อาการตาแห้งดีขึ้นก็ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียม

ปัจจุบัน บนสื่อสังคมออนไลน์มีข้อมูลมากมายแต่ควรรับฟังอย่างมีวิจารณญาณ เนื่องจากมีการทดสอบที่ไม่ได้มาตรฐานหลายเรื่อง

การทดสอบที่ไม่ได้มาตรฐานและการเผยแพร่ข้อมูลที่อาจจะสร้างความสับสนและหวาดวิตกให้กับประชาชนที่ได้รับข่าวสาร ควรรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (เช่น แพทยสภา ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย) ได้ตรวจสอบข้อมูลวิชาการที่ถูกต้องและเชื่อถือได้

สัมภาษณ์โดย พีรพล อนุตรโสตถิ์

เรียบเรียงโดย คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล

ดูข่าวเพิ่มเติม

หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare

สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter

หมายเหตุ : โฆษณาที่ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์นี้ แสดงผลโดยอัตโนมัติจากบริษัทผู้ให้บริการโฆษณา ไม่ใช่การสนับสนุนหรือส่งเสริมจากศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์แต่อย่างใด

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ชาวเชียงใหม่ร่วมจุดเทียนสดุดี 15 วีรบุรุษชายแดน

3 ส.ค.- ชาวเชียงใหม่ ร่วมกันจุดเทียน แสดงความไว้อาลัย สดุดี 15 วีรบุรุษทหารที่พลีชีพปกป้องแผ่นดินไทยตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่บริเวณ หน้าลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ตัวเมืองเชียงใหม่ ประชาชนได้รวมตัวทำกิจกรรมร้องเพลง เขียนข้อความ พร้อมโบกธงชาติไทย เพื่อส่งกำลังใจให้กับทหารที่อยู่แนวหน้า ชายแดนไทย-กัมพูชา และร่วมกันร้องเพลงชาติไทย เพื่อเป็นการสดุดีทหาร 15 นายที่พลีชีพในการสู้รบปกป้องอธิปไตย อีกทั้งอ่านรายชื่อทหาร วางพวงหรีดและจุดเทียน แสดงความไว้อาลัยพร้อมทั้งยืนสงบนิ่ง อธิฐานขอให้เจ้าหน้าที่ที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ชายแดนไทย-กัมพูชา ปลอดภัยทุกนาย นอกจากนี้ บริเวณย่านถนนท่าแพ หน้าอาคารพุทธสถานเชียงใหม่ มีการนำภาพทหารที่เสียชีวิตทั้ง 15 นายติดไว้ริมถนนและมีการตั้งโต๊ะเพื่อให้ประชาชน มาวางดอกไม้ แสดงความอาลัย -สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ประชุม 20 ผู้ว่าฯ อีสาน เข้มโดรน-จับตาสถานที่สำคัญ

3 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ประชุม 20 ผู้ว่าฯ จังหวัดอีสาน เข้มมาตรการกำจัดโดรน สั่งจับตาสถานที่สำคัญ ศาลากลางจังหวัด-คลังอาวุธ-สถานีขนส่ง บูรณาการตำรวจจับผู้ก่อเหตุ ดำเนินคดีข้อหาหนัก “ก่อการร้าย-ไส้ศึก” เมื่อวันที่ 3 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า วานนี้ (2 ส.ค.) ได้มีการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 20 จังหวัดภาคอีสาน ผ่านระบบ VTC เรื่องมาตรการกำจัดโดรน โดยให้ผู้ว่าแต่ละจังหวัด ในฐานะ ผอ.กอ.รมน.จังหวัด ให้แต่ละหน่วยงานบูรณาการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและภาคเอกชน ประชาชน จัดหาเครื่องแอนตี้โดรน ป้องกันจังหวัดของตัวเอง โดยเฉพาะเพ่งเล็งในพื้นที่สำคัญ อาทิ ศาลากลางจังหวัด สนามกีฬา คลังอาวุธ สถานีตำรวจ สถานีขนส่ง และสนามบิน นอกจากนี้ให้มีการจัดชุดลาดตระเวนพิสูจน์ทราบบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ หากสามารถควบคุมตัวได้ให้ดำเนินคดีให้ถึงที่สุดในทุกประเด็น เช่น ก่อการร้าย ไส้ศึก โดยโทษหนักสุดถึงขั้นประหารชีวิต คงต้องไปดูข้อกฎหมาย ทั้งนี้ได้กำชับห้ามปล่อยตัวง่ายๆ ต้องตรวจสอบไปถึงต้นตอ […]

พบวัตถุต้องสงสัยคล้ายโดรน บินเหนือน่านฟ้าสุรินทร์

สุรินทร์ 3 ส.ค. – พบวัตถุต้องสงสัยคล้ายโดรน บินเหนือน่านฟ้าเมืองสุรินทร์ ชาวบ้านกังวลเรื่องความปลอดภัย ขณะที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดว่าเป็นโดรนหรือเครื่องบินขนาดเล็ก เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา มีรายงานว่าพบวัตถุต้องสงสัยลักษณะคล้ายโดรน บินเหนือหลายพื้นที่ในจังหวัดสุรินทร์เป็นจำนวนมาก โดยยังไม่มีคำชี้แจงอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานราชการ ว่าวัตถุดังกล่าวเป็นโดรนจริง หรือเป็นอากาศยานชนิดใดกันแน่ ชาวบ้านในพื้นที่ได้โพสต์และแชร์ภาพวัตถุปริศนา บินอยู่เหนือเขตเมืองและพื้นที่ชายแดน ซึ่งถือเป็นพื้นที่หวงห้ามตามคำสั่งของกองทัพ ห้ามอากาศยานไร้คนขับบินโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืนสามารถดำเนินคดีตามกฎหมายได้ ทีมข่าวลงพื้นที่และสามารถบันทึกภาพวิดีโอไว้ได้ โดยพบวัตถุลักษณะคล้ายโดรนบินจากรอบนอกเมืองเข้าสู่เขตชั้นในของตัวเมืองสุรินทร์ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัดว่าเป็นโดรนหรือเครื่องบินขนาดเล็ก ล่าสุดเช้าวันนี้ ทีมข่าวได้ลงพื้นที่ยังจุดที่ชาวบ้านแจ้งว่าพบเห็นวัตถุดังกล่าว โดยมีการนำภาพถ่ายที่บันทึกไว้ตั้งแต่ช่วงเย็นขณะที่ท้องฟ้ายังสว่างให้ทีมข่าวดู ภาพปรากฏวัตถุคล้ายเครื่องบินขนาดเล็ก หรือโดรนที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัด ชาวบ้านบางส่วนแสดงความวิตก ว่า วัตถุดังกล่าวอาจมีลักษณะคล้ายโดรนพลีชีพหรืออาจบรรทุกวัตถุระเบิด ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกและกังวลในชุมชน จึงอยากให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ หรือหน่วยงานความมั่นคง ออกมาชี้แจงโดยเร็ว เพื่อความสบายใจของประชาชนในพื้นที่ . – 716 – สำนักข่าวไทย

ไทยตอนบนฝนน้อย ทะเลอันดามัน-อ่าวไทย คลื่นสูง 1-2 ม.

กทม. 3 ส.ค.- กรมอุตุฯ เผยไทยตอนบนมีฝนน้อย ส่วนทะเลอันดามันและอ่าวไทย คลื่นสูง 1-2 เมตร กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยตอนบนมีฝนน้อยเนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ในขณะที่มีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังอ่อน โดยบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง – สำนักข่าวไทย