ชัวร์ก่อนแชร์ : แนะกินยา Ivermectin ช่วยป้องกัน-รักษาโควิด-19 ได้ จริงหรือ?

30 มิถุนายน 2564 ตรวจสอบข้อเท็จจริง/เรียบเรียง โดย : ภริตพร สุธีพิเชฐภัณฑ์


บนสังคมออนไลน์มีการแชร์ข้อมูล จาก American Journal of Therapeutic ยา Ivermectin ช่วยลดการตายและหยุดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ นั้น ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ ตรวจสอบข้อมูลแล้ว พบว่า ข้อมูลมีความจริงบางส่วน แต่ยังไม่ควรแชร์

บทสรุป :  จริงบางส่วน ยังไม่ควรแชร์  


·        งานวิจัยดังกล่าวทางการแพทย์เรียกว่า “การทบทวนอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์อภิมาน” หมายความว่าเป็นการนำงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ได้สืบค้นได้ นำมาทบทวนรวมกัน ซึ่งบางงานวิจัยก็มีคุณภาพดี บางงานวิจัยมีคุณภาพปานกลาง และบางงานวิจัยก็มีคุณภาพต่ำ

·        ไม่แนะนำให้ซื้อยาตัวนี้มาใช้ในการรักษาเอง ส่วนจะมีการใช้ยาตัวนี้ในอนาคตเพื่อรักษาโควิด-19 หรือไม่นั้น ขอให้ติดตามข้อมูลที่เป็นทางการจากกระทรวงสาธารณสุขต่อไป

·        ในประเทศไทย ไอเวอร์เมคติน เป็นยาที่ขึ้นทะเบียนเพื่อใช้สำหรับการฆ่าพยาธิ หากจะนำยาที่ขึ้นทะเบียนด้วยเหตุผลอย่างหนึ่ง มาใช้กับเหตุผลอีกอย่างนึง ก็ต้องมีการพิจารณาให้รอบคอบ


·       ขณะนี้ยังไม่มีการนำยาไอเวอร์เมคตินมาใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในไทย เพราะยังมีข้อมูลทางวิชาการไม่เพียงพอ

·       สำหรับไกด์ไลน์คำแนะนำในการรักษาของกรมการแพทย์ระบุว่า มีข้อมูลการศึกษาในหลอดทดลองเบื้องต้นว่าไอเวอร์เมคตินเสริมฤทธิ์กับฟาวิพิราเวียร์ แต่ยังไม่มีข้อมูลศึกษาวิจัยทางคลินิก

ข้อมูลที่ถูกแชร์

“ผลการวิจัยยา Ivermectin ในการรักษา ไวรัสโควิด-19 ได้ถูกประกาศอย่างเป็นทางการใน American Journal of Therapeutic แล้วนะครับ และผลของการวิจัยก็คือ: 1. Ivermectin สามารถลดจำนวนคนตายจากโควิด-19 ได้ 62%. 2. Ivermectin สามารถหยุดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ 86% ซึ่งทุกวันนี้ยังไม่มีวัคซีนตัวไหนทำได้เลย. 3. ต้นทุนการผลิต Ivermectin ในอินเดียอยู่ที่ $2.90 ต่อ 100 เม็ด (ขนาดเม็ดละ 12-mg) หรือ เม็ดละ 90 สตางค์ หรือ 4.50 บาท ต่อการรักษา 1 ผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 (วันละเม็ด เป็นเวลา 5 วันติดต่อกัน….”

นอกจากนี้ยังมีการแชร์ข้อมูล “เวลานี้ Ivermectin(ไอเวอร์เมคติน)  นิยมแพร่หลายมากในอินเดีย เพราะพิสูจน์แล้วว่ารักษาโควิด-19 ได้ ไม่เพียงแต่ Gua แต่ทุกรัฐในอินเดียหันมาใช้ยานี้รักษาโควิดกันหมดแล้ว ข่าวว่าประเทศยากจนต่างๆนับร้อยประเทศในทวีปอาฟริกาและอเมริกาใต้ที่ไม่มีเงินเข้าถึงวัคซีน ก็หันมาใช้ยานี้กันหมด…” โดยข้อมูลดังกล่าวได้ถูกส่งเข้ามาสอบถามข้อเท็จจริงกับศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์จำนวนมาก

Fact Check : ตรวจสอบข้อมูล

ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ อสมท. ตรวจสอบคำกล่าวอ้างข้างต้น กับ ดร.นพ.อรรถสิทธิ์ ศรีสุบัติ ที่ปรึกษากรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้รับคำตอบในแต่ละประเด็น ดังนี้

Q : มีการแชร์ข้อมูลบนสื่อออนไลน์ว่า ยา Ivermectin (ไอเวอร์เมคติน) สามารถใช้รักษาโควิด-19 ได้แล้ว จริงหรือไม่?

A : จากข้อมูลที่แชร์กัน ควรจะต้องดูข้อมูลจากงานวิจัยเรื่องนี้ให้ครบถ้วน ซึ่งมีทั้งข้อมูลที่สนับสนุน และข้อมูลที่ยาไม่ได้ผลเมื่อเทียบกับการให้ยาตัวอื่นหรือยาหลอก แต่เดิมยาไอเวอร์เมคตินใช้สำหรับการรักษาพยาธิ แต่ขณะนี้มีข้อมูลว่ายาไอเวอร์เมคตินช่วยยับยั้งไวรัสได้ โดยเฉพาะไวรัสโควิด-19 ในหลอดทดลอง จึงทำให้มีคนสนใจเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามเมื่อเราดูข้อมูลงานวิจัยจะมีทั้งงานสนับสนุน และงานวิจัยที่บอกว่าไม่ได้ผล ซึ่งมีทั้งงานวิจัยชิ้นเล็ก ชิ้นใหญ่ที่ทำในโรงพยาบาล มีการศึกษากับผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน รวมถึงศึกษากับบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งนี้หากจะระบุว่าการใช้ยาไอเวอร์เมคติน รักษาโควิด-19 ได้ผลหรือไม่ ต้องดูว่าบุคคลที่แชร์ข้อมูล มีข้อมูลงานวิจัยใดในการสนับสนุน

สำหรับไกด์ไลน์คำแนะนำในการรักษาของกรมการแพทย์ระบุว่า มีข้อมูลการศึกษาในหลอดทดลองเบื้องต้นว่าไอเวอร์เมคตินเสริมฤทธิ์กับฟาวิพิราเวียร์ แต่ยังไม่มีข้อมูลศึกษาวิจัยทางคลินิกเพียงพอ แต่เมื่อมีงานวิชาการชิ้นนี้ออกมา ก็อาจมีความเป็นไปได้ในอนาคต ที่ประเทศไทยจะทำการศึกษาในประเด็นนี้

Q : [แชร์กันว่า] เวลานี้ Ivermectin (ไอเวอร์เมคติน) นิยมแพร่หลายมากในอินเดีย เพราะพิสูจน์แล้วว่ารักษาโควิด-19 ได้ ไม่เพียงแต่ Gua แต่ทุกรัฐในอินเดียหันมาใช้ยานี้รักษาโควิดกันหมดแล้ว ข่าวว่าประเทศยากจนต่างๆ นับร้อยประเทศในทวีปอาฟริกาและอเมริกาใต้ที่ไม่มีเงินเข้าถึงวัคซีน ก็หันมาใช้ยานี้กันหมด เพราะใช้ง่ายและราคาถูก และเป็นยาสามัญไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ เรื่องนี้จริงหรือไม่ อย่างไร

A :  อยากให้เข้าใจกันก่อนว่า ขณะนี้สถานการณ์ทางการแพทย์เป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างฉุกเฉินหรือเรียกว่าวิกฤตในเรื่องที่เกี่ยวกับโควิด-19 เนื่องจากโควิด-19 เป็นโรคระบาดใหม่ ก็จะมีความพยายามในการหาวิธีรักษามาอย่างต่อเนื่อง และในหลายประเทศก็พยายามหาวิธีการรักษา อย่างที่ระบุไปในตอนต้นว่า ในหลอดทดลองเราพบว่าตัวยาไอเวอร์เมคตินมีความสามารถในการยับยั้งไวรัสโดยเฉพาะไวรัสโควิด-19 ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ที่ประเทศต่างๆ จะมีการนำยาตัวนี้มาใช้รักษากับผู้ป่วยโควิด-19 อย่างประเทศที่มีการแชร์ข้อมูลกันหรือมีการพูดถึงอาจจะเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมาก และฐานะทางเศรษฐกิจอาจจะไม่ได้ร่ำรวย เพราะฉะนั้นยาตัวนี้อาจจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ประเทศเหล่านั้น นำมาใช้ อย่างไรก็ตามหากจะนำยาตัวนี้มาใช้ ก็ต้องดูผลที่ตามมาด้วยว่า ได้ผลจริงหรือไม่

Q : [แชร์กันว่า] ผลการวิจัยยา Ivermectin(ไอเวอร์เมคติน)  ในการรักษาไวรัสโควิด-19 ได้ถูกประกาศอย่างเป็นทางการใน American Journal of Therapeutic แล้ว และผลของการวิจัยคือ Ivermectin (ไอเวอร์เมคติน) สามารถลดจำนวนคนตายจากโควิด-19 ได้ 62% จริงหรือไม่?

A : งานวิจัยที่กำลังพูดถึงเป็นงานวิจัยที่เพิ่งตีพิมพ์ออกมา ซึ่งเป็นงานวิจัยที่มีลักษณะ ที่เราเรียกว่า “การทบทวนอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์อภิมาน” หมายความว่าผู้วิจัยนำงานวิจัยทั้งหมดที่สืบค้นมาได้ นำมาทบทวนรวมกันทั้งหมด และนำข้อมูลของงานวิจัย แต่ละงานวิจัยเอามารวมกัน เพื่อที่จะได้จำนวนผู้ป่วยเป็นจำนวนมากจากหลายๆ งานวิจัย แล้วก็นำผลมาสรุป ส่วนที่ระบุว่าช่วยลดการตายได้ 62 เปอร์เซ็นต์นั้น เมื่อพิจารณาจากงานวิจัยที่ได้ไปสืบค้นมาทั้งหมด และนำมาวิเคราะห์ผลในงานวิจัยนี้พบว่า ผู้ป่วยที่ได้กินยาไอเวอร์เมคตินจะมีการเสียชีวิต 2.3 เปอร์เซ็นต์  ขณะที่อีกกลุ่มที่ไม่ได้ยาไอเวอร์เมคตินมีการเสียชีวิตอยู่ที่ 6.8 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นในเรื่องนี้หากจะมองในเรื่องประโยชน์ของยาไอเวอร์เมคตินก็มีประโยชน์อยู่ แต่หากมองตามข้อเท็จจริง ความแตกต่างของอัตราการตายอยู่ที่ 4.5 เปอร์เซ็นต์ แต่ที่งานวิจัยนี้พูดว่าลดอัตราการตาย 62 เปอร์เซ็นต์ เป็นการเทียบจากกลุ่มที่มีอัตราการตายเยอะ และลดลงมาเมื่อได้ยาไอเวอร์เมคติน

ทั้งนี้หากพิจารณาจากภาพรวมจะพบว่า ต้องให้ยาไอเวอร์เมคตินในคนจำนวน 22 คน ถึงจะช่วยป้องกันการเสียชีวิตได้ 1 คน อีกประเด็นคือ งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการนำข้อมูลจากหลายๆ งานวิจัยมารวมกัน ซึ่งมีการศึกษากับผู้ป่วยใน ผู้ป่วยนอก และมีการให้ปริมาณโดสของยาที่แตกต่างกัน และบางงานวิจัยก็มีคุณภาพที่ดี บางงานวิจัยมีคุณภาพที่ปานกลาง บางงานวิจัยก็คุณภาพต่ำ ซึ่งส่งผลต่อการวิเคราะห์ผลด้วย อย่างไรก็ตามหากดูจากการสรุปโดยรวมระบุได้ว่า กลุ่มคนที่ได้ยาไอเวอร์เมคติน มีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่ากลุ่มที่ได้ยาอื่นๆ หรือยาหลอก

Q : [แชร์กันว่า] ยา Ivermectin(ไอเวอร์เมคติน) สามารถหยุดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ 86% ซึ่งทุกวันนี้ยังไม่มีวัคซีนตัวไหนทำได้เลย จริงหรือไม่?

A : ข้อความนี้ก็มาจากงานวิจัยชิ้นเดียวกัน โดยมาจากการวิเคราะห์งานวิจัย 3 งานวิจัย ซึ่งได้นำมารวมกันเป็นบทวิจัยนี้ และพบว่าในกลุ่มเสี่ยงที่ได้ยาไอเวอร์เมคตินมีอาการติดเชื้อโควิค-19  5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกลุ่มที่มีการควบคุมหรือเปรียบเทียบจะติดโควิด-19 ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ 

Q : [แชร์กันว่า] มีการแชร์ต่อว่าต้นทุนการผลิต ยาไอเวอร์เมคติน มีราคาถูกมาก?

A : ราคายาตัวนี้ไม่แพงมาก เนื่องจากเป็นยาที่ใช้ในการรักษาพยาธิ ซึ่งเป็นยาขึ้นทะเบียน และยาตัวนี้มีการใช้มานานแล้ว อย่างไรก็ตาม หากยาตัวนี้ได้ผลกับผู้ป่วยโควิด-19 จริง ก็จะเป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต ส่วนไกด์ไลน์หรือแนวทางที่ผู้เชี่ยวชาญ สมาคมวิชาชีพต่างๆ รวมถึงกระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ระบุว่า ยาไอเวอร์เมคตินไม่ได้เป็นยาที่ใช้รักษาหลัก แต่เป็นส่วนที่อยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ ว่าแพทย์สามารถนำมาพิจารณาใช้ได้หากเห็นว่ามีความจำเป็นและเหมาะสม เหตุผลที่มีการใช้ยาไอเวอร์เมคตินขึ้นมาเพราะพบว่ามีผลในหลอดทดลอง แต่หากถามว่าไอเวอร์เมคตินมีประโยชน์หรือไม่ หากมองจากงานวิจัยชิ้นนี้ ก็จะพบว่ายานี้อาจมีประโยชน์ในอนาคต 

Q : ประเทศไทยได้สั่งนำเข้า ยา Ivermectin (ไอเวอร์เมคติน) เข้ามาหรือไม่ ถ้าสั่งเข้ามา นำมาใช้ในการรักษาโรคอะไร

A : ไอเวอร์เมคตินเป็นยาที่ขึ้นทะเบียนว่าใช้ในการฆ่าพยาธิ ถ้าจะนำยาที่ขึ้นทะเบียนด้วยข้อบ่งใช้อย่างหนึ่ง ไปใช้กับข้อบ่งใช้อีกอย่างหนึ่ง ก็ต้องมีการพิจารณาให้รอบคอบ เพราะการขอขึ้นทะเบียนยา กับการนำมาใช้ด้วยเงื่อนไขที่ไม่เหมือนกัน

“ยาตัวนี้เป็นการขึ้นทะเบียนว่าใช้ในการฆ่าพยาธิ แต่ถ้าเราจะนำมาใช้กับผู้ป่วยโควิด-19 ก็จะต้องมีเงื่อนไขในการนำมาใช้ มีกระบวนการใด กระบวนการหนึ่ง ซึ่งในอนาคตอาจจะมีกระบวนการทำวิจัย เพราะในประเทศไทยก็มีผู้ป่วยโควิด-19 หรือถ้าเราคิดว่างานวิจัยที่มีในต่างประเทศมีความน่าเชื่อถือ และมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ยา ก็อาจจะต้องมาหาวิธีการต่อไปว่าจะดำเนินการอย่างไร” ดร.นพ.อรรถสิทธิ์ ระบุ

Q : ในประเทศไทยมีการใช้ยาตัวนี้กับผู้ป่วยโควิด-19 บ้างหรือยัง และถ้าต้องทำการรักษาจริง จะต้องใช้ในปริมาณเท่าไหร่ และเริ่มมีการทำวิจัยการศึกษายาตัวนี้ในประเทศไทยแล้วหรือยัง?

A : เคยได้ยินว่ามีอาจารย์บางท่านในประเทศไทยได้ทำวิจัยเรื่องนี้ แต่คงตอบได้ยากในตอนนี้ งานวิจัยที่ดีเพื่อตอบว่ายาได้ผลหรือไม่ จำเป็นต้องใช้เวลา เพราะต้องมีการควบคุมปัจจัยต่างๆ ของคนไข้ และปริมาณยาที่ให้ แต่จากการศึกษาวิจัยในต่างประเทศที่มีการเผยแพร่ออกมานี้ พบว่า มีการให้ยาในปริมาณและจำนวนวันที่แตกต่างกันมาก ซึ่งก็จะมีความหลากหลาย การใช้ยาจึงควรอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์หากพิจารณาว่ายาตัวนี้มีประโยชน์และจะนำมาใช้ต่อไป

ขณะนี้ยังไม่มีการนำยาไอเวอร์เมคตินมาใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่พบในประเทศไทย เพราะเรายังมีข้อมูลไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตามถ้ามีข้อมูลงานวิจัยมากพอ อย่างงานของ American Journal of Therapeutic เป็นการรวบรวมข้อมูลถึงเดือนเมษายน 2564 ก็ถือว่าเป็นงานข้อมูลวิชาการชิ้นหนึ่ง ที่จะมีโอกาสผลักดันให้มีการนำไอเวอร์เมคตินมาใช้ในอนาคตได้

Q : มีการแนะนำว่า ไม่ต้องฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้ว เพราะ สามารถทานยา Ivermectin (ไอเวอร์เมคติน)  เพื่อรักษาโควิดได้ เป็นความคิดเห็นที่ถูกต้องหรือไม่? จะให้คำแนะนำกับประชาชนอย่างไร?  

A : การที่เราฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อโรค ซึ่งการฉีดวัคซีนเป็นสิ่งที่มีความจำเป็น และอยากให้ประชาชนเข้ารับบริการการฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุดเพราะการฉีดวัคซีนได้มาก ก็จะสามารถป้องกันไม่ให้โรคโควิด-19 ระบาดมากขึ้น และคงไม่ได้หมายความว่าเราฉีดวัคซีนแล้ว จะไม่สามารถติดเชื้อ แต่การได้รับวัคซีนแล้ว เมื่อได้รับเชื้อเข้ามาอาการก็จะไม่ค่อยรุนแรง ทั้งนี้หากเราฉีดวัคซีนแล้ว แต่ยังมีผู้ที่ติดเชื้ออยู่รอบตัวเรา โอกาสที่เราจะได้รับเชื้อก็ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้นยังคงต้องปฏิบัติตามมาตรการในการเว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เพื่อป้องกันโควิด-19 ส่วนการนำยาไอเวอร์เมคตินมากินเพื่อป้องกันโรคนั้น ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอ แต่ว่าในอนาคตการนำยาไอเวอร์เมคตินเพื่อมาทำการรักษาคนติดเชื้อแล้วอาจมีความเป็นไปได้

Q : สรุปแล้วข้อมูลที่มีการแชร์บนสื่อโซเชียลมีเดียในเรื่องนี้ จริงเท็จอย่างไร ควรแชร์ต่อหรือไม่

A : ข้อมูลที่แชร์ในสื่อสังคมออนไลน์ในเรื่องนี้ มาจากข้อมูลงานวิชาการก็จริง แต่เวลาแชร์ต้องพิจารณาว่าข้อมูลบางอย่างในงานวิชาการนี้ไม่ได้สามารถแชร์ได้ทั้งหมด การนำข้อมูลมาแชร์เพียงบางส่วนมีโอกาสที่จะทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนได้มาก ถ้าจะแนะนำว่าแชร์ได้มันก็ดูจะผิดไป เพราะอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คาดเคลื่อนกันไปตลอด แต่ถ้าจะบอกว่าข้อมูลมันไม่ถูกต้องนั้น บางส่วนในข้อมูลงานวิชาการนี้ ก็มีส่วนที่ถูกต้องอยู่ ฉะนั้นผมขอแนะนำว่าอย่าแชร์ดีกว่า เพราะหากมีการแชร์ต่อไปเรื่อย ๆ แล้วนำยาตัวนี้มารักษาโควิด-19 ในเวลานี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ไม่ขอแนะนำให้ซื้อยาตัวนี้มาใช้ในการรักษาเอง ส่วนจะมีการใช้ยาตัวนี้ในอนาคตเพื่อรักษาโควิด-19 หรือไม่นั้น ขอให้ติดตามข้อมูลที่เป็นทางการจากกระทรวงสาธารณสุขต่อไป และแพทย์จะเป็นคนพิจารณาเองว่าจะใช้หรือไม่ใช้กับใคร และใช้เมื่อไหร่ ปริมาณเท่าไหร่

ข้อมูลอ้างอิง
การสัมภาษณ์ ดร.นพ.อรรถสิทธิ์ ศรีสุบัติ ที่ปรึกษากรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2564

หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: https://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare

ดูข่าวเพิ่มเติม

หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare

สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter

หมายเหตุ : โฆษณาที่ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์นี้ แสดงผลโดยอัตโนมัติจากบริษัทผู้ให้บริการโฆษณา ไม่ใช่การสนับสนุนหรือส่งเสริมจากศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์แต่อย่างใด

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ทบ.ชี้เหตุกำลังพล ร้อย.ร.111 เหยียบกับระเบิด สะท้อนกัมพูชาเริ่มใช้อาวุธก่อน

กรุงเทพฯ 9 ส.ค. – โฆษก ทบ. ชี้เหตุกำลังพล ร้อย.ร.111 เหยียบกับระเบิดขณะลาดตระเวนเส้นทาง พื้นที่รอยต่อบ้านโดนเอาว์-บ้านกฤษณา จ.ศรีสะเกษ บาดเจ็บ 3 นาย สะท้อนกัมพูชาเริ่มใช้อาวุธก่อน พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า วันที่ 9 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น. กองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 กรณีกำลังพลของหน่วยกองร้อยทหารราบที่ 111 เหยียบกับระเบิด ขณะทำการลาดตระเวนเส้นทาง เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่รอยต่อบ้านโดนเอาว์-บ้านกฤษณา จังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ได้แก่ 1. จ่าสิบเอก ธานี พาหา ตำแหน่งผู้บังคับหมู่ป้องกัน บาดเจ็บรุนแรง ข้อเท้าซ้ายท่อนล่างขาด2. พลทหาร ภาคภูมิ ไชยสุระ ตำแหน่งพลปืนเล็ก บาดเจ็บบริเวณแขนและด้านหลัง3. พลทหาร ธนันชัย ไกรวงค์ […]

จับผับรังสิต

สั่งเด้งผู้การปทุมธานี ขาดจากตำแหน่งเดิม เซ่นจับผับดังรังสิต

8 ส.ค. – โดนด้วย! สั่งเด้งผู้การปทุมธานี โดยให้ขาดจากตำแหน่งเดิม พร้อมพวกอีก 5 นาย เซ่นจับผับดังรังสิต พบฉี่ม่วงเพียบเฉียด 200 คน พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ลงนามในคำสั่งตำรวจภูธรภาค 1 ที่ 209/2568 เรื่อง ข้าราชการตำรวจช่วยราชการ ใจความว่า ด้วย ตำรวจภูธรภาค 1 มีคำสั่งที่ 208/2568 ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2568 แต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ในกรณีเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 เวลา 01.00 น. ชุดปฏิบัติการ พิเศษกรมการปกครอง ได้มีการจัดระเบียบสังคม โดยเปิดปฏิบัติการ (Zero Drug) โดยนำกำลังเข้าทำการ ตรวจสอบและจับกุมสถานบริการ ชื่อ ร้าน “Skin […]

ข่าวแนะนำ

วิเคราะห์แนวทางดำเนินคดีกัมพูชา

10 ส.ค. – ฟังการวิเคราะห์ปมดำเนินคดีกัมพูชา กับ รศ.ดร. ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากหลักฐานที่มีชัดเจน กระสุนกัมพูชายิงตกฝั่งไทย เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินพลเรือน และมีกระสุนที่ต้องเก็บกู้มากกว่า 800 นัด ขณะที่หลังการเจรจา GBC ผ่านไป พบกัมพูชายังเสริมกำลังทหารต่อเนื่อง .-สำนักข่าวไทย

ชาวบ้านศรีสะเกษสุดช้ำ บ้านเรือนถูกกัมพูชายิงถล่มเหลือแต่ซาก

ศรีสะเกษ 10 ส.ค. – ชาวบ้าน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ กลับจากศูนย์อพยพเจอสภาพบ้านเหลือแต่ซาก หลังถูกลูกปืนใหญ่กัมพูชายิงถล่ม ขณะที่พบหัวจรวด BM-21 กลางทุ่งนา อีก 2 จุด ใน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เจ้าหน้าที่ EOD ทำลายเรียบร้อย ปลัดอำเภอน้ำยืน เน้นย้ำหากชาวบ้านพบหลุมลึก-ปากหลุมแคบ ให้รีบแจ้งทันที ภาพจากกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นนาทีกระสุนโจมตีของกัมพูชายิงตกใส่บ้านเรือนประชาชนอย่างรุนแรงจนฝุ่นฟุ้งกระจาย จากภาพจะเห็นว่ามีรถอีแต๋นคันหนึ่งวิ่งผ่านจุดที่กระสุนพุ่งตกลงมาเพียงเสี้ยววินาที เมื่อเวลา 10.00 น. ของวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ในพื้นที่บ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ วันนี้ นายกุลนที อายุ 45 ปี เดินทางกลับมาบ้าน หลังอพยพออกจากพื้นที่ไปกว่า 2 สัปดาห์ ในช่วงเหตุปะทะแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทันทีที่เห็นบ้าน นายกุลนทีถึงกับน้ำตาคลอ เพราะบ้านเสียหายอย่างหนัก ทั้งโครงสร้างไม้และปูนได้รับความเสียหายเกือบทั้งหมด ประตู หน้าต่าง กระจก และหลังคาถูกกระสุนถล่มจนแทบไม่เหลือสภาพเดิม […]

มทภ.2 กำชับกำลังพลเพิ่มความระมัดระวัง หลังทหาร 3 นาย เหยียบกับระเบิด

10 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 กำชับกำลังพลเพิ่มความระมัดระวัง หลังทหาร 3 นาย เหยียบกับระเบิด ขณะลาดตระเวนแนวชายแดน จ.ศรีสะเกษ จากการตรวจสอบพบเป็นทุ่นใหม่ ถูกวางไว้ช่วงทหารกัมพูชาเข้ามาตั้งฐานป้องกันการเข้าโจมตีของไทย ไม่ใช่การลอบนำมาวางใหม่หลังถอนกำลัง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยภายหลังการรับมอบสิ่งของช่วยเหลือทหารและเจ้าหน้าที่ตามแนวชายแดน จากภาครัฐและเอกชน ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเจ้าหน้าที่ทหาร 3 นาย เหยียบกับระเบิด ขณะลาดตระเวนแนวชายแดน จ.ศรีสะเกษ เมื่อวานว่า จากการตรวจสอบพบว่าเป็นทุ่นใหม่ที่ถูกวางไว้ช่วงทหารกัมพูชาเข้ามาตั้งฐานเพื่อป้องกันการเข้าโจมตีของไทย ก่อนที่จะถอนกำลังออกไป ไม่ใช่การลอบนำมาวางใหม่หลังถอนกำลัง จึงสั่งการให้ทุกหน่วยเพิ่มความระมัดระวัง พร้อมใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักร เช่น รถไถ รถตักในการเคลียร์เส้นทางและค้นหาทุ่นระเบิดบุคคล เพื่อป้องกันไม่ให้กำลังพลได้รับอันตรายซ้ำ สำหรับพื้นที่แนวปะทะที่มีการวางกำลังของทหารกัมพูชายังถือว่าไม่ปลอดภัยสำหรับทหาร เนื่องจากมีการวางระเบิดไว้มาก ส่วนพื้นที่ชาวบ้านซึ่งอยู่นอกแนวชายแดนลึกเข้ามา ไม่น่าเป็นห่วงจากทุ่นระเบิดบุคคล แต่ยังมีความเสี่ยงจากจรวดที่ยิงเข้ามาแล้วไม่ระเบิด หากประชาชนพบเห็นให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที ห้ามเข้าไปจับ ดึง หรือเก็บเอง อย่างไรก็ตาม พื้นที่ส่วนใหญ่ เช่น ภูมะเขือ อานม้า ซำแปร และตาเมือนธม ไทยสามารถครอบครองได้ […]

นิด้าโพล เผยประชาชนไว้วางใจกองทัพ ปกป้องชาติมากถึง 75%

กทม. 10 ส.ค.-นิด้าโพล เผยประชาชนไว้วางใจกองทัพ ปกป้องผลประโยชน์ชาติ จากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา มากถึง 75% แนะเปิดเจรจาทางการทูตสองฝ่ายจริงจัง รวมทั้งเห็นว่าไม่ควรรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาทุกคน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ไปต่อแบบไหนดี” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 4-5 สิงหาคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป เกี่ยวกับความไว้วางใจและความพอใจต่อบทบาทของภาคส่วนต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พบว่า -กองทัพ ตัวอย่าง ร้อยละ 75.73 ระบุว่า ไว้วางใจมาก รองลงมา ร้อยละ 19.31 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ ร้อยละ 3.66 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ ร้อยละ 1.07 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย และร้อยละ 0.23 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ -กระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 41.76 […]