บทความนี้เรียบเรียงโดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) โดยมีเนื้อหาหลักจากคลิปวิดีโอ
16 กันยายน 2568
ตามที่มีการแชร์เตือนผู้ใช้งานรถยนต์ว่า ฟิล์มกรองแสงคืออะไร มีกี่รูปแบบ แตกต่างกันอย่างไร และเลือกใช้อย่างไร ให้เหมาะสมกับการใช้งาน
ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ ตรวจสอบกับ ธนเทพ ธเนศนิรัตศัย นักทดสอบและผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ และ Website Director www.Headlightmag.com Headlight Magazine
(สัมภาษณ์เมื่อ 31 กรกฎาคม 2568)
เจาะลึกฟิล์มกรองแสงรถยนต์ : เลือกอย่างไรให้ใช่ สบายใจทุกการเดินทาง
ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนระอุของเมืองไทย “ฟิล์มกรองแสงรถยนต์” ได้กลายเป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่รถยนต์ทุกคันต้องมี ไม่ใช่เพียงเพื่อความสวยงาม แต่เพื่อประโยชน์ใช้สอยที่สำคัญในการปกป้องทั้งผู้โดยสารและตัวรถ อย่างไรก็ตาม ในตลาดฟิล์มกรองแสงที่เต็มไปด้วยตัวเลือกมากมาย ทั้งประเภท คุณสมบัติ และระดับราคา ทำให้ผู้ใช้รถหลายคนอาจเกิดความสับสนว่าจะเลือกฟิล์มแบบไหนให้เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด
บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกแง่มุมของฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ตั้งแต่ประเภทต่าง ๆ ไปจนถึงวิธีการเลือกให้ตรงกับความต้องการ เพื่อให้การตัดสินใจครั้งต่อไปของคุณง่ายและมั่นใจยิ่งขึ้น
ฟิล์มกรองแสงคืออะไร และทำงานอย่างไร ?
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าฟิล์มกรองแสงนั้นคืออะไร โดยพื้นฐานแล้ว ฟิล์มกรองแสงคือแผ่นพลาสติกชนิดพิเศษที่ถูกออกแบบมาเพื่อติดตั้งบนกระจกรถยนต์ โดยมีคุณสมบัติหลัก 3 ประการ คือ
- สะท้อนแสง : ลดความจ้าของแสงแดดที่ส่องเข้ามาในห้องโดยสาร ทำให้การขับขี่สบายตาขึ้น
- ดูดซับความร้อน : ลดปริมาณความร้อนที่จะผ่านเข้ามาในตัวรถ ทำให้ห้องโดยสารเย็นเร็วขึ้นและเครื่องปรับอากาศทำงานน้อยลง
- ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) : ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันรังสียูวี ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งผิวหนังและทำให้วัสดุภายในรถยนต์ เช่น คอนโซลและเบาะที่นั่ง เสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร
รู้จักฟิล์มกรองแสง 5 ประเภทหลักในปี 2568
เทคโนโลยีฟิล์มกรองแสงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบัน (ข้อมูล ณ ปี 2568) สามารถแบ่งประเภทฟิล์มหลัก ๆ ได้ 5 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็มีจุดเด่นและข้อจำกัดแตกต่างกันไป
1. ฟิล์มย้อมสี (Dyed Film) เป็นฟิล์มพื้นฐานที่มีราคาถูกที่สุด จุดเด่นคือสามารถลดแสงจ้าได้ดี แต่มีความสามารถในการกันความร้อนต่ำที่สุด เมื่อใช้งานไปสักระยะ สีของฟิล์มจะซีดจางลง อายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1-3 ปี
2. ฟิล์มเคลือบโลหะ (Metallic Film) หรือ ฟิล์มปรอท ฟิล์มชนิดนี้ได้รับความนิยมสูงในอดีต มีจุดเด่นที่การกันความร้อนและรังสียูวีได้ดี มีความทนทานสูง แต่ข้อเสียสำคัญคือ โลหะที่เคลือบบนฟิล์มจะรบกวนสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น สัญญาณโทรศัพท์มือถือ และระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ (Easy Pass) อายุการใช้งานประมาณ 3-7 ปี
3. ฟิล์มคาร์บอน (Carbon Film) เป็นฟิล์มที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาของฟิล์มเคลือบโลหะ โดยใช้ผงคาร์บอนแทนการเคลือบโลหะ ทำให้สามารถกันความร้อนและรังสียูวีได้สูง โดยไม่รบกวนสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ ให้ทัศนวิสัยที่เคลียร์ชัดจากภายใน และสีไม่ซีดจาง แต่ก็มีราคาที่สูงขึ้นตามมา
4. ฟิล์มเซรามิก (Ceramic Film) ถือเป็นฟิล์มเกรดพรีเมียมที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในปัจจุบัน สามารถป้องกันความร้อนและรังสียูวีได้ดีที่สุด โดยที่ไม่รบกวนสัญญาณใด ๆ และไม่ทำให้เกิดเงาสะท้อนมากนัก ข้อเสียคือมีราคาสูงที่สุดในบรรดาฟิล์มทุกประเภท แต่ก็แลกมาด้วยอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า 10 ปี
5. ฟิล์มไฮบริด (Hybrid Film) เป็นฟิล์มลูกผสมที่นำคุณสมบัติเด่นของฟิล์มย้อมสีและฟิล์มเคลือบโลหะมารวมกัน ทำให้ได้ฟิล์มที่มีความสามารถในการกันความร้อนปานกลาง ลดแสงจ้าได้ดี และมีราคาที่ไม่สูงจนเกินไป เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟิล์มที่มีประสิทธิภาพสมดุลในราคาที่จับต้องได้ อายุการใช้งานประมาณ 3-7 ปี
ถอดรหัสตัวเลขบนฟิล์ม : ค่าความทึบแสง และ VLT คืออะไร ?
เมื่อเลือกประเภทฟิล์มได้แล้ว สิ่งต่อไปที่ต้องพิจารณาคือ “ความเข้ม” ของฟิล์ม ซึ่งมักจะถูกระบุด้วยค่าตัวเลขต่าง ๆ
- ค่าความทึบแสง (40%, 60%, 80%) : เป็นค่าที่คนไทยคุ้นเคยกันดี บ่งบอกถึงระดับความมืดของฟิล์ม
- 40% : ฟิล์มใส กันร้อนได้ระดับหนึ่ง ยังคงความสวยงามของรถ ไม่มืดเกินไป
- 60% : ความเข้มระดับกลาง เป็นที่นิยมที่สุด ให้ความสมดุลระหว่างการกันร้อนและความเป็นส่วนตัว แต่บางคนอาจรู้สึกว่าถอยรถตอนกลางคืนลำบาก
- 80% : ฟิล์มมืด ให้ความเป็นส่วนตัวสูงมาก มองจากภายนอกแทบไม่เห็นภายใน แต่มองจากภายในออกไปภายนอกยังพอเห็นได้
- ค่า VLT (Visible Light Transmittance) : เป็นค่ามาตรฐานสากลที่บอกเป็นเปอร์เซ็นต์ของแสงที่สามารถส่องผ่านฟิล์มได้ ซึ่งจะสวนทางกับค่าความทึบแสง
- VLT 5% : เทียบเท่าฟิล์ม 80% (มืดมาก)
- VLT 20-35% : เทียบเท่าฟิล์ม 60% (ความเข้มปานกลาง)
- VLT 50-70% : เทียบเท่าฟิล์ม 40% (ฟิล์มใส) ซึ่งแนะนำสำหรับกระจกบานหน้า เพื่อทัศนวิสัยที่ดีในการขับขี่
สัญญาณเตือน : เมื่อไหร่ที่ควรเปลี่ยนฟิล์มกรองแสง ?
ฟิล์มกรองแสงก็มีอายุการใช้งาน เมื่อเสื่อมสภาพประสิทธิภาพก็จะลดลง สัญญาณที่บ่งบอกว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนฟิล์มใหม่แล้ว ได้แก่
- สีซีดจาง : ฟิล์มเปลี่ยนจากสีเข้มเป็นสีม่วงหรือสีจาง ๆ
- ภาพมัว : ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลง ภาพที่เห็นไม่คมชัด
- เกิดฟองอากาศ : มีฟองอากาศปรากฏขึ้นตามกระจก
- ร้อนกว่าปกติ : รู้สึกว่าแอร์สู้แดดไม่ไหวเหมือนเคย
คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ : “เลือกร้าน” สำคัญไม่แพ้ “เลือกฟิล์ม”
ท้ายที่สุดแล้ว แม้จะเลือกฟิล์มที่มีคุณภาพดีและราคาสูงเพียงใด แต่หากติดตั้งโดยช่างที่ไม่มีความชำนาญก็อาจเกิดปัญหาตามมาได้ ผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำแนะนำสำคัญไว้ว่า “การเลือกร้านติดตั้งที่น่าเชื่อถือและมีประสบการณ์” คือหัวใจสำคัญที่สุด เพราะการติดตั้งที่ไม่ดีอาจสร้างความเสียหายให้กับส่วนอื่น ๆ ของรถยนต์ เช่น แผงประตู และทำให้คุณต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการแก้ไขซ้ำแล้วซ้ำเล่า
การเลือกฟิล์มกรองแสงจึงเป็นการลงทุนเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยในระยะยาว ควรศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์ให้ถี่ถ้วน เลือกประเภทและความเข้มให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์การขับขี่ และที่สำคัญที่สุดคือเลือกใช้บริการจากร้านติดตั้งที่มีมาตรฐาน เพื่อให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากการลงทุนในครั้งนี้
ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย : ณัฐพล อินทร์สวัสดิ์
ตรวจสอบบทความโดย : ชยานิษฐ์ ผ่องใส
ดูเพิ่มเติมรายการ ชัวร์ก่อนแชร์ Motor Check FACTSHEET : รู้จัก และเข้าใจ ฟิล์มกรองแสงรถยนต์
หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare
สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter