บอลลูนหัวใจคืออะไร ป่วยระดับไหนถึงต้องทำบอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจ และมีวิธีการรักษาแบบอื่นอีกหรือไม่ ?
🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ รศ.นพ.สุพจน์ ศรีมหาโชตะ สาขาวิชาโรคหัวใจและหลอดเลือด ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตนายกสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
การรักษาหลอดเลือดหัวใจมี 3 วิธี กินยาอย่างเดียว ทำบอลลูนหลอดเลือดหัวใจ (ปัจจุบันใส่ขดลวดด้วย) และทำบายพาสผ่าตัดต่อหลอดเลือดที่ตีบ
การทำบอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจ เป็นวิธีการรักษาแบบหนึ่ง แต่ต้องประเมินว่า…
1. หลอดเลือดตีบจริง ๆ และมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
2. ใส่ขดลวดเล็ก ๆ ผ่านบริเวณรอยตีบของหลอดเลือด และนำบอลลูนขยายหลอดเลือดให้กว้างขึ้น
3. หลอดเลือดขยาย ก้อนไขมันจะถูกเบียดชิดผนังหลอดเลือด หลังจากนั้นใส่ขดลวด เมื่อใส่ขดลวดแล้วหลอดเลือดขยายมีขนาดใหญ่ เลือดก็จะไหลได้ดีขึ้น
ผู้ป่วยกลุ่มไหนบ้าง ต้องทำบอลลูน ?
หลังตรวจร่างกายแล้ว แพทย์พิจารณาว่าควรทำบอลลูนกับกลุ่มผู้ป่วยดังต่อไปนี้
1. กลุ่มอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน บางคนกล้ามเนื้อหัวใจตาย กลุ่มนี้จะได้ประโยชน์สูงสุดจากการทำบอลลูน ซึ่งหลาย ๆ ครั้งพบว่าทำให้ผู้ป่วยรอดชีวิตจากการทำบอลลูนได้
2. กลุ่มที่มีอาการเจ็บหน้าอกแบบอาการคงที่
กลุ่มที่ไม่ได้มีอาการเฉียบพลัน แต่อาจจะต้องทำบอลลูนหลอดเลือดหัวใจ มีข้อบ่งชี้ว่าต้องมีอาการและอาการนี้เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โดยมีการตรวจหัวใจหลัก ๆ 3 รูปแบบ ได้แก่
1. ตรวจหัวใจ Exercise Stress Test : EST การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะทำงานหนัก ใช้หลักการกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นเหมือนการออกกำลังกาย (เดินบนลู่วิ่ง หรือปั่นจักรยาน) จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้ดี หากผู้ป่วยมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือหลอดเลือดหัวใจตีบอยู่จะทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ
2. ตรวจหัวใจ Echocardiogram เรียกกันสั้น ๆ ว่า “เอคโค” เป็นการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงที่ใช้บ่อยในปัจจุบัน เพื่อดูประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ เช่น การบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ ขนาดของห้องหัวใจ การไหลเวียนเลือดในหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจ และดูตำแหน่งของหลอดเลือดต่าง ๆ ที่เข้าสู่หัวใจ
3. ตรวจหัวใจ Cardiac MRI ตรวจหัวใจด้วยคลื่นสะท้อนแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ (Cardiovascular MRI) เป็นการถ่ายภาพหัวใจโดยการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นวิทยุในการสร้างภาพ ช่วยในการตรวจปัญหาในห้องหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจ ลิ้นหัวใจ และประเมินการไหลเวียนของเลือดในหัวใจ ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด
4. ตรวจหัวใจ CT Scan การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หัวใจ โดยใช้เครื่องสแกนและคอมพิวเตอร์ สามารถตรวจได้รวดเร็วแต่มีรายละเอียดและความละเอียดสูง แสดงภาพหลอดเลือดหัวใจให้รับรู้ว่าผู้ป่วยมีปัญหาอะไรบ้างเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ
วิธีการตรวจต่าง ๆ เหล่านี้ จะนำมาประกอบกับอาการของผู้ป่วย เพื่อประเมินว่ามีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอยู่หรือไม่
ไม่ใช่ทุกกรณีที่มีหลอดเลือดหัวใจตีบแล้วจะต้องทำบอลลูนเสมอไป ?
ถ้าเมื่อไหร่มีอาการ และอาการเป็นมาก ทำงานเล็กน้อย เดินขึ้นบันได 1 ชั้นก็มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก กินยาไปสักพักอาการไม่ดีขึ้น หรือยังมีอาการเจ็บอยู่ ก็เป็นข้อบ่งชี้ว่าอาจจำเป็นต้องไปฉีดสีดูหลอดเลือดหัวใจ แพทย์จะประเมินดูอีกครั้งว่ามีการตีบมากน้อยแค่ไหน
ถ้าหลอดเลือดตีบมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ แนะนำว่าสามารถทำบอลลูนได้
กรณีหลอดเลือดตีบน้อยกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ แต่ตีบมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป อาจจะต้องประเมินว่า จริง ๆ แล้วมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจริง ๆ หรือไม่
แพทย์จะทำการใส่สายเข้าไปวัดความดันในหลอดเลือด เมื่อไหร่ที่ความดันในหลอดเลือดลดลงไป 20 เปอร์เซ็นต์ ก็บ่งบอกได้ว่ากล้ามเนื้อหัวใจอาจมีปัญหาขาดเลือดได้ การทำบอลลูนอาจจะมีประโยชน์กรณีนี้
ถ้าผู้ป่วยหลอดเลือดตีบน้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ โอกาสที่จะต้องทำบอลลูนมีน้อยมาก เพราะไม่มีประโยชน์จากการทำบอลลูน
การทำบอลลูนคือจุดเริ่มต้นของเส้นทางการดูแลสุขภาพตนเอง ?
ที่ผ่านมามีผู้ป่วยบางรายถามว่า “ทำไมไม่ทำบอลลูนให้ ทั้ง ๆ ที่หลอดเลือดตีบ 70 เปอร์เซ็นต์ ปล่อยทิ้งไว้ได้อย่างไร”
ขออธิบายดังนี้ การทำบอลลูนหรือนำขดลวดใส่เข้าไปในหลอดเลือด คือการนำวัตถุบางอย่างเข้าสู่ร่างกาย จะต้องกินยาต้านเกล็ดเลือด 2 ชนิด เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน และหลังจากนั้นต้องกินยา 1 ชนิดตลอดชีวิต
ที่สำคัญขดลวดที่ใส่เข้าไปจะอุดตันตอนไหนก็ได้ แต่เมื่อเทียบกับมีหลอดเลือดตีบนิดหน่อย โดยไม่มีสิ่งแปลกปลอม (ขดลวด) อยู่ในหลอดเลือด โอกาสที่จะเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย (Heart Attack) หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันไม่ได้สูงกว่าการนำขดลวดใส่เข้าไปในหลอดเลือด
ดังนั้น คนที่มีหลอดเลือดตีบ 50 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่มีอาการอะไรเลยก็ไม่ควรนำอะไรใส่เข้าไปในหลอดเลือดจะดีกว่า
การทำ “บอลลูน” สามารถช่วย “ป้องกัน” โรคหัวใจ ได้หรือไม่ ?
การทำบอลลูนไม่สามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจในอนาคต
หลายคนที่ใส่ขดลวดเข้าไปในหลอดเลือด ถึงแม้ว่าหลอดเลือดจะตีบ 70 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม โดยคาดหวังว่าจะไม่เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายในอนาคต เรื่องนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด
เมื่อไหร่ก็ตามที่หลอดเลือดตีบมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ และมีข้อบ่งชี้ว่ามีกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อาจจะได้ประโยชน์จากการทำบอลลูนขยายหลอดเลือด แต่ถ้าหลอดเลือดตีบมากการทำบอลลูนก็จะสู้การผ่าตัดทำบายพาสไม่ได้
ถ้ามีหลอดเลือดตีบไม่มากหรือน้อยกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ตรวจเพิ่มเติมแล้วไม่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ สามารถออกกำลังกายได้ ที่สำคัญต้องควบคุมปัจจัยเสี่ยงให้ดี ลดไขมันให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน คุมเบาหวาน คุมความดัน และถ้าสูบบุหรี่ด้วยก็ต้องเลิกสูบบุหรี่ทันที
แนวทางการรักษาอาจจะมาพร้อมกับความเสี่ยง โดยเฉพาะใช้อย่างไม่เข้าใจและไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง
สัมภาษณ์โดย พีรพล อนุตรโสตถิ์
เรียบเรียงโดย คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล
ดูเพิ่มเติมรายการ ชัวร์ก่อนแชร์ FACTSHEET : เมื่อใดต้องทำ บอลลูนหัวใจ
หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare
สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter