ชัวร์ก่อนแชร์ : ต้องเลิกใช้หลอดดูดน้ำ จริงหรือ ?

บนสื่อสังคมออนไลน์แชร์คลิปเตือนว่า ต่อไปนี้คงต้องเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ใช้หลอดดูดน้ำดื่มแล้ว เพราะนักวิจัยพบสารเคมี PFAS ในหลอดดูดแทบทุกชนิด ทั้งหลอดกระดาษ ไม้ไผ่ พลาสติก แก้ว ยกเว้นแค่หลอดสเตนเลสเท่านั้น แม้แต่ EU ก็สั่งยกเลิกแล้ว


🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ผศ.ดร.บุศรินทร์ จงเจริญยานนท์ อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีการบรรจุและวัสดุ และ รองคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กร คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ข้อมูลในคลิปมีส่วนที่เป็นความจริงและไม่เป็นความจริง


ส่วนที่เป็นความจริงก็คือ ในหลอดกระดาษมี PFAS อยู่จริง แต่ไม่ใช่เป็นสาเหตุที่ทำให้สหภาพยุโรป (EU) ยกเลิกการใช้หลอดกระดาษ หรือหลอดพลาสติกแบบที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง

สาเหตุที่ EU แบน หรือยกเลิกหลอดพลาสติกชนิดใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง เป็นเพราะปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ขยะที่เกิดจากการใช้พลาสติกชนิดใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง (Single-used plastic) ไม่ว่าจะเป็นจาน ช้อนส้อม มีด หรือแม้แต่หลอด เพราะฉะนั้น การใช้หลอดที่มี PFAS อยู่ แต่ใช้อย่างถูกประเภทตามที่ผู้ผลิตแนะนำ ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัย เพราะ PFAS ก็ยังมีใช้กันอยู่ทั่วไปในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว

สาร PFAS คืออะไร ?


สาร PFAS ย่อมาจาก Per-and polyfluoroalkyl substances เป็นสารที่ fluoro กับ alkyl เชื่อมต่อกัน ซึ่งพันธะเคมีจะแข็งแรงมากจึงคงอยู่ได้ในสิ่งแวดล้อมเป็นเวลานาน

PFAS ถูกเรียกว่า “สารเคมีตลอดกาล” สารเคมีตัวนี้นำมาเคลือบกันน้ำ กันน้ำมัน และกันการติด

สาร PFOA : Perfluorooctanoic acid เป็นสารที่มีคุณสมบัติแบบเดียวกับ PFAS เพราะเป็นสารกลุ่มเดียวกัน สามารถกันน้ำ กันน้ำมันได้ ไม่ทำให้ติดภาชนะ

หลอดกระดาษ ใช้สาร PFAS ด้วยหรือ ?

กระดาษมีคุณสมบัติที่ไม่เหมาะสมกับการใช้กับของเหลว เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการปรับปรุงคุณสมบัติโดยการเคลือบสาร PFAS กลุ่มนี้ เพื่อช่วยกันน้ำ กันน้ำมัน

นอกจากนี้ ยังพบได้อีกหลายแหล่ง นอกเหนือจากหลอด คือกลุ่มบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการกันน้ำ กันน้ำมัน เช่น ถ้วยกระดาษ แก้วกระดาษ ชามกระดาษ จานกระดาษ เคลือบเฟอร์นิเจอร์ พรม ภาชนะต่าง ๆ มีการเคลือบกันน้ำไว้ และเครื่องสำอางที่บอกว่าเป็นกลุ่มกันน้ำก็มีโอกาสพบ PFAS อยู่ด้วย

ในอาหาร น้ำดื่ม ฝุ่นละออง ก็อาจมีการปนเปื้อนของสารกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน อยู่ในสิ่งแวดล้อม มีความคงทนอยู่

งานวิจัยที่เก็บตัวอย่าง เกิดขึ้นในต่างประเทศ

สิ่งที่แชร์กันเป็นงานวิจัยต่างประเทศ เก็บตัวอย่างหลอดในท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็นซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ หรือร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด 39 ตัวอย่าง แล้วนำมาทดสอบ ผลปรากฏว่า 69 เปอร์เซ็นต์ของตัวอย่าง มีสาร PFAS อยู่

ตัวอย่างที่เก็บ มาจากวัสดุ 5 ชนิด ได้แก่ กระดาษ ไม้ไผ่ โลหะที่เป็นสเตนเลส พลาสติก แก้ว แต่ละกลุ่มพบ PFAS แตกต่างกัน แต่หลอดที่ทำจากสเตนเลสไม่พบสาร PFAS

ที่บอกว่า EU สั่งยกเลิกนั้น ไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะคนที่พูดไปตีความว่าการที่ EU แบน เพราะการใช้หลอดมี PFAS

ในความเป็นจริง EU แบนหลอดเพราะประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากขยะพลาสติก ไม่ว่าจะเป็นจาน ช้อน ถ้วย ชาม รวมถึงหลอดด้วย แต่ในตัวงานวิจัยพูดถึง PFAS โดยเฉพาะ แต่ไม่ได้บอกว่าจะแบนหรือไม่แบน

ถ้าจะนำมาเปรียบเทียบกับประเทศไทย บอกไม่ได้ว่าเป็นกลุ่มตัวอย่างเดียวกันหรือไม่

ยกตัวอย่าง ในหลอดกระดาษ พบถึง 90 เปอร์เซ็นต์ คือเก็บตัวอย่างมาทั้งหมด 20 ตัวอย่าง แต่ 18 ตัวอย่างพบ PFAS อยู่ในนั้น ไม่พบแค่ 2 ตัวอย่าง ซึ่งก็ไม่รู้ว่ายี่ห้ออะไรบ้าง และเป็นยี่ห้อเดียวกับที่จำหน่ายในประเทศไทยหรือไม่

อาจเป็นการสรุปแบบเหมารวมเกินไป เพราะถ้าเป็นหลอดกระดาษไม่ว่าจากประเทศไหน จะต้องพบ PFAS 90 เปอร์เซ็นต์เลยหรือ อาจจะไม่ใช่แบบนั้นก็ได้

จริง ๆ แล้ว สาร PFAS ใช้สัมผัสกับอาหาร ได้หรือไม่ ?

ปกติ PFAS ก็มีการใช้งานกันทั่วไปอยู่แล้ว

ถ้าใช้ในสภาวะที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอุณหภูมิ ชนิดของอาหาร ก็มั่นใจได้ว่าไม่มีการปนเปื้อนของสาร PFAS หรือหลุดออกมาเกินที่มาตรฐานกำหนด

ร่างกายคนเราจะได้รับ PFAS เข้าไปโดยผ่านการสัมผัสอาหาร และกินอาหารเข้าไป

การที่สารเคมีจะเคลื่อนที่จากภาชนะไปสู่อาหาร เรียกว่า ไมเกรชั่น (Migration) เกิดจากปัจจัยหลายอย่าง ปัจจัยเด่น ๆ ได้แก่

1. อุณหภูมิ ถ้าอุณหภูมิสูงโอกาสเกิดไมเกรชั่นจะมีมาก

2. ชนิดของอาหาร ถ้าเป็นอาหารกลุ่มไขมันก็มีโอกาสเกิดไมเกรชั่นได้มากกว่า เช่น ใช้หลอดกระดาษอันเดียวกัน ดูดนมอุ่น อีกแก้วเป็นน้ำผลไม้เย็น ถ้าหลอดนั้นมี PFAS โอกาสที่ PFAS ลงไปในนมอุ่นจะมีมากกว่า เพราะอุณหภูมิสูงกว่า มีความเป็นไขมันมากกว่า

สารกลุ่มนี้ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย อาจจะไปสะสมในตับ ทำให้การทำงานผิดปกติในระบบต่าง ๆ ของร่างกายได้ เช่น ระบบประสาท ระบบต่อมไร้ท่อ ระบบสืบพันธุ์

ผู้ผลิตมีคำแนะนำการใช้งาน ว่าไม่ควรใช้งานในสภาวะไหนบ้าง เมื่อใช้งานตามคำแนะนำของผู้ผลิตก็สามารถมั่นใจได้ว่าสารกลุ่มนี้จะไม่หลุดลงมาในอาหาร

ในชีวิตประจำวัน อาจได้รับสาร PFAS จากอะไรบ้าง ?

บรรจุภัณฑ์อาหาร : เช่น กล่องอาหาร กล่องโฟม ถ้วยกาแฟเคลือบ หรือห่อขนมต่างๆ เนื่องจากสาร PFAS มีคุณสมบัติกันน้ำ กันมัน และทนความร้อน ทำให้ถูกนำไปเคลือบบรรจุภัณฑ์อาหารเพื่อยืดอายุการใช้งานและป้องกันอาหารเสีย

เครื่องครัว : กระทะ หม้อ หรืออุปกรณ์ทำครัวที่เคลือบสารกันติด เช่น เทฟลอน อาจมีสาร PFAS ปนเปื้อนอยู่ได้

เสื้อผ้า : เสื้อผ้ากันน้ำ หรือเสื้อผ้ากีฬาบางชนิด อาจมีการเคลือบสาร PFAS เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกันน้ำและคราบสกปรก

เฟอร์นิเจอร์ : พรม โซฟา หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากผ้า หรือวัสดุเคลือบกันน้ำ กันเปื้อน อาจมีสาร PFAS ปนเปื้อนอยู่ได้

ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนตัว : เครื่องสำอาง สบู่ แชมพู หรือโลชั่นบางชนิด อาจมีส่วนผสมของสาร PFAS เพื่อเพิ่มความคงทนของผลิตภัณฑ์

น้ำดื่ม : ในบางพื้นที่ น้ำดื่มอาจปนเปื้อนสาร PFAS จากโรงงานอุตสาหกรรม หรือแหล่งกำเนิดอื่น ๆ

อาหาร : สัตว์น้ำ เช่น ปลา หรืออาหารทะเลอื่น ๆ อาจสะสมสาร PFAS จากการกินอาหารที่ปนเปื้อนสารชนิดนี้

ฝุ่นละออง : ฝุ่นละอองในอากาศอาจมีอนุภาคของสาร PFAS จากผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่สลายตัว

สาร PFOA ทำให้เกิดอันตรายกับร่างกายหรือไม่ อย่างไร ?

เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว PFOA จะถูกสะสมอยู่ในตับ ไต และเลือด โดยร่างกายไม่สามารถขับออกได้ง่าย ทำให้สะสมเป็นเวลานาน ส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น

ระบบภูมิคุ้มกัน : ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ อาจทำให้ร่างกายอ่อนแอต่อการติดเชื้อและโรคต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น

ระบบต่อมไร้ท่อ : ส่งผลต่อการทำงานของฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่หลากหลาย เช่น ภาวะมีบุตรยาก การเจริญเติบโตผิดปกติ หรือโรคเบาหวาน

ระบบสืบพันธุ์ : อาจส่งผลกระทบทั้งในเพศชายและเพศหญิง

ระบบประสาท : มีการศึกษาบางส่วนที่เชื่อมโยง PFOA เข้ากับปัญหาเกี่ยวกับพัฒนาการของระบบประสาทในเด็ก

มะเร็ง : บางชนิดของสาร PFAS ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสารที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งได้ เช่น มะเร็งไต มะเร็งอัณฑะ และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ส่งผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ : การได้รับสาร PFOA ในขณะตั้งครรภ์อาจส่งผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ ทำให้น้ำหนักแรกเกิดต่ำ หรือมีความผิดปกติทางกายภาพ

ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ : เช่น การเพิ่มขึ้นของคอเลสเตอรอลในเลือด การลดลงของน้ำหนักแรกเกิด และปัญหาเกี่ยวกับตับ

คำแนะนำสำหรับผู้บริโภค ดื่มน้ำอย่างไร ให้ปลอดภัยจากสาร PFAS และ สาร PFOA

ในแง่ของสุขภาพ การป้องกันตัวเองจากสาร PFAS และ PFOA เป็นสิ่งสำคัญ การลดความเสี่ยงในการได้รับสารดังกล่าว ซึ่งมาจากหลอดกระดาษ หลอดพลาสติก หากหลีกเลี่ยงการใช้งานหลอดกลุ่มนี้ และเลือกใช้หลอดสเตนเลส หลอดแก้ว ซึ่งเป็นวัสดุที่ปลอดภัย สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ก็จะช่วยลดโอกาสการได้รับสารกลุ่มนี้ และยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

ดังนั้น จะต้องระวังเรื่องความสะอาด มีอุปกรณ์ทำความสะอาดที่เหมาะสม และอันตรายจากการกระแทก

ในแง่ของสิ่งแวดล้อม ถ้าไม่ได้มีความจำเป็นจริง ๆ ที่จะต้องใช้หลอดดูดน้ำ เช่น เป็นผู้พิการ หรือต้องอยู่ในท่านอน ไม่สามารถดื่มน้ำจากแก้วได้ ก็ลองหยุดคิดสักนิด ก่อนที่จะใช้หลอดแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง เพราะระยะเวลาการใช้งานนั้นสั้นมาก หากเทียบกับระยะเวลาที่มันจะตกค้างอยู่เป็นขยะในโลกของเรา 

📌 สรุป : เรื่องนี้จริงบางส่วน ไม่ควรแชร์ต่อ ❌  

ข้อมูลที่แชร์กันมีส่วนทำให้เข้าใจผิด เพราะการที่บอกว่า สหภาพยุโรปแบน การใช้หลอดที่มี PFAS ไม่เป็นความจริง เพราะถ้าแชร์เรื่องนี้ต่อไป ก็อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดในวงกว้างได้

การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามข้อเท็จจริง โดยไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนก

สัมภาษณ์โดย พีรพล อนุตรโสตถิ์

เรียบเรียงโดย คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล

ดูเพิ่มเติมรายการ ชัวร์ก่อนแชร์ : ต้องเลิกใช้หลอดดูดน้ำ จริงหรือ ?

ดูข่าวเพิ่มเติม

หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare

สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter

หมายเหตุ : โฆษณาที่ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์นี้ แสดงผลโดยอัตโนมัติจากบริษัทผู้ให้บริการโฆษณา ไม่ใช่การสนับสนุนหรือส่งเสริมจากศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์แต่อย่างใด

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

กองทัพภาคที่ 2 แชร์ข้อมูลอาวุธไฮเทคสำหรับยิงโดรน

นครราชสีมา 2 ส.ค.-กองทัพภาคที่ 2 แชร์ข้อมูลอาวุธสำหรับกำจัดโดรนโดยเฉพาะ ซึ่งล่าสุดได้ทดสอบระบบ ณ กองบิน 1 ศูนย์ทดสอบอาวุธทางอากาศ เรียบร้อยแล้ว ด้านชาวอุดรธานี แห่บริจาคหนังสติ๊กพร้อมลูกแก้ว ตามที่ทหารขอมาจำนวนมาก หลังทหารกัมพูชายังก่อกวน ยั่วยุ ทั้งขว้างก้อนหินใส่ และมีโดรนปริศนามาบินอีก จากกรณีที่ช่วงนี้ มีการตรวจพบโดรนไม่ทราบฝ่าย เข้ามาบินตรวจการณ์ในพื้นที่ที่ตั้งทางทหาร ทำให้หลายฝ่ายมีความกังวล และสงสัยว่าอาจเป็นภัยคุกคามร้ายแรงจากประเทศเพื่อบ้าน ที่กำลังมีปัญหาระหว่างประเทศกับประเทศไทย ทำให้เมื่อวานเพจกองทัพภาคที่ 2 ได้แชร์ข้อมูลอาวุธสำหรับกำจัดโดรนโดยเฉพาะ ซึ่งล่าสุดได้มีการทดสอบระบบ ณ กองบิน 1 ศูนย์ทดสอบอาวุธทางอากาศ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเมื่อวานนี้ (1 ส.ค.68) เฟซบุ๊กเพจ กองทัพภาคที่2 ได้แชร์ข้อมูลเพจ SMART Soldiers Strong ARMY พร้อมระบุข้อความว่า “หากศัตรูซ่อนตัวในเงามืด เราจะเป็นแสงที่มองเห็นมันก่อนใคร”เลเซอร์พร้อมยิง — ทหารไทยพร้อมรบโดยอาวุธชนิดนี้ คือ Directed Energy Weapon หรือ (DEW) เป็นอาวุธยุคใหม่ที่กองทัพอากาศไทยพัฒนาขีดความสามารถอย่างต่อเนื่อง […]

โฆษก ทบ. ซัดเขมรบิดเบือน กล่าวหาไทยทำร้าย 2 ทหารเขมร

2 ส.ค. – โฆษกกองทัพบก ซัด เขมรบิดเบือน กล่าวหาไทยทำร้าย 2 ทหารเขมรจนพิการและมีปัญหาทางจิต ยันมีหลักฐานชัดทำทุกอย่างภายใต้กติกาสากล จากกรณี สื่อกัมพูชาปั่นข่าวหนักโจมตีกล่าวหาไทย อ้างว่าปฏิบัติโหดกับ 2 ทหารกัมพูชาที่ถูกส่งกลับ จนพิการและมีปัญหาทางจิต พร้อมจะยื่นเรื่องถึงยูเอ็นนั้น ล่าสุดเมื่อเวลา 11.08 น. วันที่ 2 ส.ค.68 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า กรณีที่ทหารไทยจับกุม และควบคุมตัว ทหารกัมพูชา ภายหลังจากข้อตกลงหยุดยิง โดยกล่าวหาว่าไทยทำร้ายร่างกายอย่างไม่เป็นธรรมทำก่อนส่งกลับนั้น เป็นเพียงคำกล่าวหา บิดเบือนจากฝ่ายกัมพูชา และการหยุดยิงแบบฉับพลัน แต่สถานการณ์ความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธต่อกัน ยังไม่สิ้นสุดลงอย่างแท้จริงตามกฎหมายสากล กระบวนการฝ่ายทหารในการควบคุมตัวไว้ก่อน จึงยังสามารถทำได้ตามอนุสัญญาเจนีวา พล.ต.วินธัย กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ในส่วนของกองทัพบก มีแผนและพร้อมที่จะเชิญองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ICRC มาดูความเป็นอยู่ของเชลยศึกที่ถูกควบคุมตัว ซึ่งอยู่ในกรอบการดำเนินการตามขั้นตอนของอนุสัญญาเจนีวาอย่างสมบูรณ์ และชัดเจน หากกังวลเรื่องความเป็นอยู่ เพราะรู้เท่าทันว่าฝ่ายกัมพูชาจะนำเรื่องนี้ไปบิดเบือนทำลายความน่าเชื่อถือฝ่ายทหารไทย ทางผู้แทน UNHCR และ ICRC จึงสามารถขอเข้ามาดูได้ […]

ชาวบ้านร่วมวางดอกไม้ไว้อาลัยเหตุกัมพูชายิงจรวดใส่ร้านสะดวกซื้อ

ศรีสะเกษ 2 ส.ค.-เช้านี้บรรยากาศที่ปั๊มน้ำมันบ้านผือ อ.กันทรลักษ์ เต็มไปด้วยความสลด ชาวบ้านร่วมกิจกรรมวางดอกไม้แสดงความไว้อาลัยผู้เสียชีวิต จากเหตุถูกกัมพูชายิงจรวดใส่ และจับกลุ่มพูดคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชาวบ้านจากหมู่บ้านต่างๆในอำเภอกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ทยอยเดินทางมาที่ปั๊ม ที่ถูกกัมพูชาโจมตีโดยการยิงจรวด BM-21 ใส่ เมื่อวันที่24 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยจรวจตกใส่บริเวณร้านสะดวกซื้อ ส่งผลให้มีประชาชนเสียชีวิต 8 ราย และบาดเจ็บอีก 15 คน ในจำนวนผู้เสียชีวิตมีแม่และลูกวัย 8 ขวบ ชาวบ้านร่วมกันเขียนข้อความแสดงความไว้อาลัย ก่อนร่วมกันนำข้อความพร้อมดอกไม้ชูขึ้น เพื่อเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ว่าการที่ทหารกัมพูชาโจมตีพื้นที่พลเรือนถือเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม จากนั้นได้รวมกันนำดอกไม้ไปวางเพื่อแสดงความไว้อาลัยบริเวณด้านหน้าร้านสะดวกซื้อที่ถูกกัมพูชายิงจรวดใส่ นอกจากชาวบ้านแล้วยังมีเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร ที่มาร่วม วางดอกไม้ แสดงความไว้อาลัย ตัวแทนชาวบ้านบอกว่า การร่วมวางดอกไม้ในครั้งนี้เพื่อต้องการให้ผู้เสียชีวิตไปสู่ภพภูมิที่ดี พร้อมขอประณามกัมพูชา ที่เลือกยิงเป้าหมายเป็นประชาชน ทั้งที่ตำบลเมืองถือเป็นพื้นที่สีเขียว แต่ยังมีกระสุนตกใส่ และการที่เป็นพื้นที่สีเขียว จึงไม่ได้มีการอพยพประชาชน หากตกใส่หมู่บ้าน เชื่อว่าจะมีความสูญเสียเกิดขึ้นมากกว่านี้.-สำนักข่าวไทย

กองทัพบก ยกระดับมาตรการรับมือภัยคุกคามจากโดรน

กทม. 2 ส.ค.-กองทัพบกบูรณาการทุกภาคส่วน ยกระดับมาตรการรับมือภัยคุกคามจากโดรน หลังพบมีความพยายามบินตรวจการณ์ที่ตั้งทางทหาร ตามที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2568 เรื่องห้ามมิให้ผู้ใดบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน หรือ “โดรน” ที่ควบคุมการบินจากภายนอก, ทุกวัตถุประสงค์การใช้งาน, และทุกพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาในปัจจุบัน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารหรือหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ได้รับมอบหมาย มีอำนาจในการใช้ระบบต่อต้านโดรน (Anti-Drone System) รวมถึงสามารถดำเนินการทำลายโดรนจากภาคพื้นดินได้ทันที ในการนี้ พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก/รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ได้สั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 ถึง 4 และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 ถึง 4 ดำเนินมาตรการตามแนวทางดังต่อไปนี้ •ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด โดยมีรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ฝ่ายทหาร) เป็นผู้รับผิดชอบในการหารือและประสานการปฏิบัติกับส่วนราชการ หน่วยงาน และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาคเป็นผู้ทำหน้าที่ควบคุมและวางแผนภาพรวมในการป้องกันและต่อต้านการใช้โดรนไม่ทราบฝ่าย •ให้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ ได้แก่ จังหวัด ตำรวจภูธรจังหวัด หน่วยงานความมั่นคง ภาคเอกชน และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งจัดตั้งชุดเคลื่อนที่เร็ว ประกอบด้วยกำลังจากฝ่ายพลเรือน ตลอดจนตำรวจจากสถานีตำรวจภูธร […]