ชัวร์ก่อนแชร์: จุดจบ “เบอร์นี เมดอฟฟ์” ปีศาจแชร์ลูกโซ่

05 พฤศจิกายน 2567
แปลและเรียบเรียงบทความโดย: อดิศร สุขสมอรรถ
ตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล


คดีแชร์ลูกโซ่ที่โด่งดังที่สุดในสหรัฐฯ ได้แก่คดีที่ก่อโดย เบอร์นี เมดอฟฟ์ นักการเงินชาวอเมริกัน ผู้ใช้ชื่อเสียงในแวดวงตลาดหลักทรัพย์ ล่อล่วงให้ผู้คนและหน่วยงานต่าง ๆ นำเงินมาลงทุนนานนับทศวรรษ ประเมินความเสียหายกว่า 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นคดีแชร์ลูกโซ่ที่มีมูลค่าความเสียหายสูงสุดเป็นประวัติการณ์

สาเหตุที่มีคนหลงเชื่อ เบอร์นี เมดอฟฟ์ เป็นจำนวนมาก เนื่องจากเขาคือผู้กว้างขวางในแวดวงตลาดหลักทรัพย์ในนิวยอร์ก เป็นผู้ริเริ่มการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และเป็นอดีตประธานของตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq 3 สมัย (1990 1991 1993)


เบอร์นี เมดอฟฟ์ ยังสร้างภาพผ่านกิจกรรมเพื่อการกุศล จนองค์กรไม่แสวงหากำไรหลายแห่งก็ตกเป็นเหยื่อของเขาจำนวนมาก ข้อมูลของสำนักงานอัยการสูงสุดของรัฐนิวยอร์กพบว่า 10% ของเงินที่เขาฉ้อโกงมาจากองค์กรไม่แสวงหากำไร

แผนแชร์ลูกโซ่ของเมดอฟฟ์

เบอร์นี เมดอฟฟ์ ซ่อนกิจการแชร์ลูกโซ่เอาไว้เป็นความลับในชั้นที่ 17 ของอาคาร Lipstick Building ที่ตั้งสำนักงาน Bernard L. Madoff Investment Securities LLC ของเขาเอง


ช่วงปี 2008 ก่อนที่แผนแชร์ลูกโซ่จะได้รับการเปิดโปง บริษัท Bernard L. Madoff Investment Securities LLC แบ่งการดำเนินงานเป็น 2 ส่วน

โดยชั้นที่ 19 ดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ บริหารงานโดย มาร์ค และ แอนดรูว์ เมดอฟฟ์ ลูกชายทั้ง 2 คนของ เบอร์นี เมดอฟฟ์ โดย เบอร์นี เมดอฟฟ์ เป็นผู้ดูแล

ส่วนชั้นที่ 17 ดำเนินธุรกิจกองทุนบริหารความเสี่ยง ดำเนินการโดย เบอร์นี เมดอฟฟ์ และ ปีเตอร์ เมดอฟฟ์ น้องชายของเขา

โดยกิจกรรมในชั้นที่ 17 ถูกเก็บเป็นความลับอย่างแน่นหนา แม้แต่พนักงานในชั้นที่ 19 รวมถึงลูกชายทั้ง 2 คน ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในชั้นที่ 17

เบอร์นี เมดอฟฟ์ ใช้วิธีหาเหยื่อด้วยการอ้างว่า กองทุนบริหารความเสี่ยงของเขาให้ผลตอบแทนมากกว่า 10-20% ต่อปี ตามผลประกอบการที่เกิดขึ้นกับดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีตลาดหุ้นที่ใช้วัดประสิทธิภาพหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ 500 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐฯ

พร้อมรับประกันความเสี่ยงด้วยมาตรการเน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทใหญ่ และป้องกันเงินทุนด้วยกลยุทธ์ใช้สิทธิในการขายหุ้น (Put Options) ในกรณีหุ้นของบริษัทใดมีแนวโน้มอยู่ในช่วงตลาดขาลง

แต่แท้จริงแล้ว กองทุนบริหารความเสี่ยงดังกล่าวไม่มีอยู่จริง ผลตอบแทนทั้งหมดมาจากการนำเงินทุนของเหยื่อรายใหม่ไปให้เหยื่อรายเก่า

ภาพลักษณ์ของ เบอร์นี เมดอฟฟ์ ซึ่งมักทำให้ผู้ลงทุนหลงเชื่อว่า การนำเงินมาลงทุนกับเขาเป็นโอกาสพิเศษที่หาได้ยาก เมื่อมีคนหวังจะถอนเงิน ก็จะได้รับคำขู่ว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดเนื่องจากจะไม่มีโอกาสได้กลับมาลงทุนกับบริษัทของเขาอีก

ความผิดปกติในกองทุนของ เบอร์นี เมดอฟฟ์

ผู้ที่พบความผิดปกติในกองทุนของ เบอร์นี เมดอฟฟ์ เป็นรายแรก ๆ ได้แก่ แฮร์รี มาโคโปลอส ผู้เชี่ยวชาญด้านการบัญชีนิติวิทยาศาสตร์และนักสอบสวนการฉ้อโกงทางการเงิน ที่ถูกร้องขอให้ถอนแบบการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนระดับเดียวกับกองทุนของ เบอร์นี เมดอฟฟ์

แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีการลงทุนรูปแบบใด แฮร์รี มาโคโปลอส ก็ไม่สามารถอธิบายผลตอบแทนแบบเดียวกับที่กองทุนของ เบอร์นี เมดอฟฟ์ ทำได้ จึงสรุปว่า เบอร์นี เมดอฟฟ์ ไม่ได้สร้างรายได้จากการลงทุน เงินทั้งหมดถ้าไม่ได้มาจากการทำ front Running หรือการสร้างกำไรจากซื้อขายหุ้นดักหน้าลูกค้า ก็ต้องมาจากแชร์ลูกโซ่ ซึ่งต่างก็ผิดกฎหมายการเงินทั้ง 2 วิธี

แต่ความพยายามเปิดโปงแผนแชร์ลูกโซ่ของ แฮร์รี มาโคโปลอส เมื่อปี 2000 ประสบความล้มเหลว เนื่องจากไม่ได้รับความสนใจจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) เท่าที่ควร เนื่องจากการสอบสวนโดย SEC ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กลับไม่พบความผิดปกติในกองทุนของ เบอร์นี เมดอฟฟ์ แต่อย่างใด

แผนแชร์ลูกโซ่ถูกทำลาย

เมื่อใดที่มีนักลงทุนถอนเงินจำนวนมาก เบอร์นี เมดอฟฟ์ จะพยายามแก้สถานการณ์ด้วยการหาเหยื่อรายใหม่มาลงทุนไปเรื่อย ๆ

จนกระทั่งการมาถึงของ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ปี 2008 หรือวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างรุนแรง มีนักลงทุนมาถอนเงินจาก เบอร์นี เมดอฟฟ์ มากกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่จริง จนสุดท้ายแผนแชร์ลูกโซ่ของเมดอฟฟ์ที่ดำเนินมากว่า 17 ปีก็ถูกเปิดโปงในที่สุด

เบอร์นี เมดอฟฟ์ ยอมเปิดเผยความจริงต่อ มาร์ค และ แอนดรูว์ เมดอฟฟ์ ในช่วงปลายปี 2008 ก่อนที่ลูกชายทั้ง 2 คน จะเป็นผู้แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยตนเอง

จากการประเมินพบว่า มีผู้เสียหายจากแผนแชร์ลูกโซ่ของเมดอฟฟ์ทั่วโลกหลายหมื่นราย คิดเป็นความเสียหายมูลค่าเกือบ 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2 ล้านล้านบาทในปี 2008 ซึ่งคิดเป็นจำนวนเงินกว่า 95,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน

คดีแชร์ลูกโซ่ของ เบอร์นี เมดอฟฟ์ กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก เมื่อผู้เสียหายมากมายต้องสูญเงินเก็บไปทั้งชีวิตในพริบตา มีเหยื่อไม่น้อยตัดสินใจฆ่าตัวตายจากการหลอกลวงครั้งนั้น

เบอร์นี เมดอฟฟ์ ในวัย 71 ปี ถูกตัดสินจำคุกในคดีฉ้อฉลทางการเงินเป็นเวลา 150 ปี ซึ่งเป็นบทลงโทษสูงสุด ห้ามยุ่งเกี่ยวกับอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ตลอดชีวิต และยึดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 170,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

มรดกบาปของ เบอร์นี เมดอฟฟ์

แผนแชร์ลูกโซ่ที่ เบอร์นี เมดอฟฟ์ เก็บงำเป็นความลับจากสมาชิกในครอบครัวมานานปี กลับมาทำร้ายคนในครอบครัวของเขาทีละคน

ปีเตอร์ เมดอฟฟ์ น้องชายของเบอร์นี เมดอฟฟ์ ถูกตัดสินจำคุก 10 ปี

มาร์ค เมดอฟฟ์ ลูกชายคนโตของ เบอร์นี เมดอฟฟ์ ทำอัตวินิบาตกรรมในอายุ 46 ปี เมื่อปี 2010

แอนดรูว์ เมดอฟฟ์ ลูกชายคนรองของ เบอร์นี เมดอฟฟ์ เสียชีวิตจากมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในวัย 48 ปีเมื่อปี 2014

ซอนดรา ไวเนอร์ พี่สาวของเบอร์นี เมดอฟฟ์ ซึ่งสูญเงินไปกับแชร์ลูกโซ่จากน้องชายตนเองกว่า 3 ล้านดอลลาร์ ถูกพบเป็นศพกับสามีในบ้านพักเมื่อปี 2022 สันนิษฐานว่าเกิดจากการฆาตกรรมและฆ่าตัวตาย

ส่วน เบอร์นี เมดอฟฟ์ เสียชีวิตในเรือนจำวัย 82 ปีเมื่อปี 2021 จากภาวะหลอดเลือดหัวใจแข็งและโรคไตเรื้อรัง

ตัวตนของ เบอร์นี เมดอฟฟ์

แรงจูงใจในการก่อคดีแชร์ลูกโซ่ของ เบอร์นี เมดอฟฟ์ ยังคงสร้างความกังขาให้กับหลายฝ่าย เนื่องจาก เบอร์นี เมดอฟฟ์ ยอมรับเองว่า เขามีเงินเหลือให้คนทั้งครอบครัวใช้ไปตลอดชีวิต โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเงินจากแชร์ลูกโซ่แม้แต่น้อย

มีการวิเคราะห์ว่า ความเชื่อมั่นมากเกินไปของเขา ทำให้เขามองไม่เห็นความจริงที่ว่า การปกปิดแผนแชร์ลูกโซ่จากสมาชิกในครอบครัว ไม่ช่วยให้คนในครอบครัวรอดพ้นข้อครหาการพัวพันจากคดีแชร์ลูกโซ่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไปได้

หนังสือพิมพ์ New York Times ได้สัมภาษณ์นักจิตวิทยา ซึ่งเปรียบเทียบ เบอร์นี เมดอฟฟ์ ว่าไม่ต่างจาก เท็ด บันดี อดีตนักข่มขืนและฆาตกรต่อเนื่อง เนื่องจาก เบอร์นี เมดอฟฟ์ ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 17 ปีในการหาเหยื่อแชร์ลูกโซ่ไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าผลจากกรรมดังกล่าวจะสร้างความทุกข์ทรมานให้กับเหยื่อแค่ไหน

รวมถึงกระแสวิจารณ์ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ ที่ขาดความรอบคอบในการตรวจสอบความโปร่งใสในเส้นทางการดำเนินธุรกิจของ เบอร์นี เมดอฟฟ์ โดยมองว่าเป็นผลจากการละเว้นการตรวจสอบบุคคลที่มีชื่อเสียงและมีหน้ามีตาในสังคม จนนำไปสู่คดีแชร์ลูกโซ่ที่สร้างความเสียหายสูงสุดในประวัติศาสตร์การเงินของสหรัฐฯ จนถึงปัจจุบัน

ข้อมูลอ้างอิง :

https://www.investopedia.com/terms/b/bernard-madoff.asp
https://en.wikipedia.org/wiki/Bernie_Madoff
https://en.wikipedia.org/wiki/Madoff_investment_scandal

ดูข่าวเพิ่มเติม

หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare

สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter

หมายเหตุ : โฆษณาที่ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์นี้ แสดงผลโดยอัตโนมัติจากบริษัทผู้ให้บริการโฆษณา ไม่ใช่การสนับสนุนหรือส่งเสริมจากศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์แต่อย่างใด

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เพลิงไหม้อาคารกองบัญชาการกองทัพไทย

กทม. 18 ก.ย.-เพลิงไหม้อาคารกองบัญชาการกองทัพไทย คาดไฟฟ้าลัดวงจรและลุกลามไปยังห้องข้างเคียง ไม่พบผู้บาดเจ็บหรือความเสียหายร้ายแรง เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 18 ก.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดเหตุห้องอาหาร 50 จากตู้ควบคุมวงจรไฟฟ้ามีเพลิงไหม้ (ไฟฟ้าลัดวงจร) และลุกลามไปยังพื้นที่ข้างเคียงตึกกองบัญชา บกทท. บริเวณชั้น6 ข้างห้อง เสธนาธิการทหาร เจ้าหน้าที่เวรยาม และสารวัตรทหาร ได้ช่วยกันใช้ถังดับเพลิงในการดับเพลิงแต่ไม่สามารถเข้าถึงต้นเพลิงในการระงับดับไฟได้ จึงได้ประสานรถตับเพลิงและขอส่วนสนับสนุนรถดับเพลิง นทพ. มาช่วยในการระดับดับเพลิง โดยมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้เข้าตรวจสอบและดำเนินการระงับเหตุในทันที เบื้องต้นสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น คาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร ทั้งนี้ ยังไม่พบผู้ได้รับบาดเจ็บหรือความเสียหายร้ายแรงต่อโครงสร้างอาคารแต่อย่างใด กองบัญชาการกองทัพไทย ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างใกล้ชิด และจะรายงานความคืบหน้าให้ประชาชนและสื่อมวลชนรับทราบต่อไป.-313.-สำนักข่าวไทย

โผ ครม. “อนุทิน” ลงตัว ไม่ถูกตีกลับ

กทม. 18 ก.ย.-โผ ครม. “อนุทิน” ลงตัว ไม่ถูกตีกลับ ขณะ “นายกฯ หนู” ยังนั่งดินเนอร์อาหารอีสานอย่างสบายใจ ท่ามกลางข่าวลือ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 17 ก.ย. มีกระแสข่าวลือว่ากระบวนการทูลเกล้าฯ รายชื่อคณะรัฐมนตรี ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มีปัญหา ถูกตีกลับ เนื่องจากพบรายชื่อว่าที่รัฐมนตรีบางคน ติดปัญหาคุณสมบัตินั้น ล่าสุด แหล่งข่าว ยืนยันว่า รายชื่อคณะรัฐมนตรี ที่นำทูลเกล้าฯไปนั้น ไม่ได้มีปัญหาแต่ย่างใด ทุกอย่างลงตัวเรียบร้อยตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมาแล้ว โดยเรื่องคุณสมบัติ ได้ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามาแล้ว ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ในช่วง ค่ำวันนี้ (17 ก.ย.) ปรากฏภาพ นายอนุทิน นั่งรับประทานอาหารอีสานอย่างสบายใจ ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งกับคนใกล้ชิด ท่ามกลางข่าวลือที่เกิดขึ้น.-319.-สำนักข่าวไทย

“รังสิมันต์” เบรกกัมพูชากลางวง AIPA หลังเสนอวาระเร่งด่วนปมเปิดด่าน

มาเลเซีย 17 ก.ย.- “รังสิมันต์” เบรกกัมพูชา กลางวงประชุม AIPA หลังเสนอวาระเร่งด่วนประเด็นขัดแย้งไทย-กัมพูชา หารือปมเปิดด่าน หวั่นเป็นประเด็นการเมือง-ละเอียดอ่อน ชี้ มีกระบวนการ IOT และ GBC อยู่แล้ว นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะผู้แทนรัฐสภาไทยในการประชุมคณะกรรมการบริหาร AIPA กล่าวถึงข้อเสนอของกัมพูชาผ่านเวที AIPA ว่าเป็นการเสนอในระยะเวลากระชั้นชิดเป็นช่วงสุดท้าย ที่เปิดให้ประเทศสมาชิกเสนอวาระเร่งด่วนได้ ดังนั้นทีมไทยแลนด์ที่นำโดยนายฉลาด ขามช่วง เมื่อทราบ ข้อเรียกร้องของกัมพูชาจึงได้เตรียมการในเรื่องนี้ ซึ่งจากเดิมได้เรียกร้อง 2 ข้อ คือ 1. เรื่องเฉลยศึก ที่ทหารกัมพูชาถูกควบคุมตัว ในช่วงเวลาที่มีการปะทะ และ 2. เรื่องการเปิดด่านชายแดน แต่ท้ายที่สุดทางกัมพูชากลับเรียกร้องบนเวที AIPA เพียงเรื่องการเปิดด่านชายแดนเท่านั้น จึงรู้สึกแปลกใจว่าทำไมถึงหยิบยกมาเพียงเรื่องนี้ ในเมื่อกระบวนการของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว หรือ IOT ผ่านไป และค่อนข้างราบรื่น ดังนั้นการหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาพูดคุยอีกครั้ง จากการแก้ปัญหาแบบทวิภาคี ระหว่างไทย และ […]

แม่ใจสลาย รับร่างลูกสาววัย 2 เดือนถูกพิตบูลขย้ำ ส่งชันสูตร

อุทัยธานี 17 ก.ย. – ครอบครัวเศร้า ติดต่อรับร่างลูกสาววัย 2 เดือน ส่งชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิต หลังถูกสุนัขพิตบูลลากไปขย้ำหัว ขณะแม่ไปเก็บของเก่าภายในโรงสี เจ้าของคาดเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของเล่น นายฉัตรมงคล สุวรรณเศรษฐ์ เจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอุทัยธานี พร้อมด้วยมารดาของ ด.ญ.กัญญาภัทร อายุเพียง 2 เดือน ผู้เสียชีวิตจากการถูกสุนัขพันธุ์พิตบูลกัด รวมถึงญาติ เดินทางไปรับศพที่โรงพยาบาลหนองฉาง จ.อุทัยธานี ก่อนนำร่างส่งชันสูตร หาสาเหตุอย่างละเอียดอีกครั้งที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ ทั้งนี้ เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเวลา 15.00 น. วานนี้ (16 ก.ย.) ที่โรงรถของบ้านหลังหนึ่ง พื้นที่ หมู่ 15 บ้านโรงสีใหม่ ต.ทุ่งโพ อ.หนองฉาง จ.อุทัยธานี โดยเมื่อเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพบร่างเด็กน้อย อยู่บริเวณรางระบายน้ำ เจ้าของบ้านนำร่างเด็ก ส่งโรงพยาบาลไปก่อนหน้านี้ แต่เสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยที่เกิดเหตุ ยังพบคราบเลือดและร่องรอยลากยาวราว 6 เมตร ไปถึงรางระบายน้ำ นอกจากนี้ ยังพบรถเข็นเด็ก พร้อมของเล่น […]

ข่าวแนะนำ

“อนุทิน” รับ “อันวาร์” ยกหูเชิญถกอาเซียน ยันไม่มีใครแทรกแซงรัฐบาลไทยได้

พรรคภูมิใจไทย 19 ก.ย.- “อนุทิน” รับ “อันวาร์” ยกหูหาเชิญร่วมประชุมอาเซียน ยันไม่มีใครเคลียร์-แทรกแซงรัฐบาลได้ หลัง “ฮุน มาเนต” ขอมาเลเซียเป็นตัวกลาง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกมาเปิดเผยว่าได้โทรศัพท์พูดคุยเป็นการส่วนตัว โดยนายอนุทิน ยอมรับว่า เมื่อวานนายอันวาร์ได้โทรมาหา พูดคุยถึงการเชื้อเชิญว่า ถ้าหากตนได้รับตำแหน่งเรียบร้อยแล้วคงจะได้พบกันโดยเร็วที่สุด ซึ่งจะเป็นการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในช่วงเดือนหน้า ส่วนการพูดคุยถึงสถานการณ์ชายแดนจังหวัดสระแก้ว นายอนุทิน ระบุว่า ไม่ได้มีการพูดคุยในรายละเอียด อีกทั้งตนยังไม่สามารถพูดอะไรได้มาก เนื่องจากยังไม่ได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งขณะนี้ก็ยังคงมีรัฐบาลรักษาการ เราให้เกียรติกัน “ผมรับตำแหน่งได้ ก็ต่อเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อน ส่วนเรื่องนโยบาย ข้อสั่งการ ต้องรอการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งขณะนี้เราก็ยังรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไว้ให้มากที่สุด” นายอนุทิน กล่าว ส่วนกรณีที่นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ร้องขอไปยังนายอันวาร์ เพื่อให้เข้ามาแทรกแซงการเจรจานั้น นายอนุทิน ยืนยันว่า ไม่มีใครแทรกแซงรัฐบาลไทยและอธิปไตยของไทยได้ ส่วนเรื่องการพูดคุย นายอนุทิน ย้ำว่า เราสามารถทำได้ เพราะเป็นคนที่คุ้นเคยรู้จักกัน […]

“อนุทิน” กินข้าว “อภิสิทธิ์” ขอคำแนะนำอดีตนายกฯ

กทม. 19 ก.ย.- “อนุทิน” โพสต์ภาพร่วมโต๊ะกินมื้อกลางวันคู่กับ “อภิสิทธิ์” บอกขอคำแนะนำอดีตนายกฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี โพสต์ภาพรับประทานอาหารกลางวันคู่กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งเป็นการส่วนตัว พร้อมระบุข้อความว่า “ได้รับคำแนะนำที่มีประโยชน์และคุณค่ามากมายจากท่านนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ได้ให้เกียรติมาให้กำลังใจและทานอาหารกลางวันด้วยกันในวันนี้ ขอบพระคุณท่านมากครับ” ทั้งนี้ ถือเป็นความเคลื่อนไหวแรกของนายกรัฐมนตรี หลังจากที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของนายอนุทิน เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีอีกกระแสข่าว ที่เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ กลับไปเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ -สำนักข่าวไทย

รวบยกแก๊ง 4 ชาวอังกฤษขับรถชิงทรัพย์ชาวอเมริกัน

ภูเก็ต 19 ก.ย. – วานนี้มีเหตุอุกอาจกลางเมืองภูเก็ต กลุ่มชายฉกรรจ์ขับรถชนรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายก่อนลงไปชิงนาฬิกาหรู มูลค่ากว่า 2 ล้าน เช้านี้ตำรวจรวบผู้ก่อเหตุได้ครบ เชื่อวางแผนทำกันเป็นขบวนการ.-สำนักข่าวไทย

ไทยยึดหลักสากล จัดการปมบ้านหนองหญ้าแก้ว

กระทรวงการต่างประเทศ 19 ก.ย.- “อนุทิน” แจงประธานอาเชียน เหตุบ้านหนองหญ้าแก้ว ไทยยืนยันยึดหลักสากล จัดการปัญหา กัมพูชาขัดข้อตกลงหยุดยิง ใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์ ไร้มนุษยธรรม ไม่สร้างสรรค์ บิดเบือนข้อเท็จจริง พร้อมเรียกร้องกัมพูชาแสดงความจริงใจในการแก้ปัญหา นายนิกรเดช พลางกูล อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ที่มีการรื้อถอนสิ่งกีดขวางของฝ่ายไทย และมีการปะทะจนมีเจ้าหน้าที่ไทยได้รับบาดเจ็บ ซึ่งถือเป็นการทำผิดกฎหมายไทยหลายมาตรา โดยย้ำว่าที่ผ่านมาฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัดทุกประการมาโดยตลอด ข้อตกลงนี้เป็นหมุดหมายสำคัญที่จะปูทางไปสู่สันติภาพ แม้สถานการณ์สงบลง แต่กัมพูชายังยั่วยุในรูปแบบต่างๆ ซึ่งขัดข้อตกลงหยุดยิง พร้อมย้ำว่าการวางเครื่องกีดขวางเสริมความมั่นคง เป็นการดำเนินการในอธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยอดกลั่น และใช้เวลาชี้แจงกับประชาชนกัมพูชา แต่ไม่เป็นผล ที่สุดเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนของไทยต้องเข้าระงับเหตุตามหลักสากล ตามหลักมนุษยชนการปลุกระดมให้ประชาชนมาเป็นโล่มนุษย์ ขัดกฎหมายระหว่างประเทศ ไร้มนุษยธรรม ขาดความรับผิดชอบ ไม่สร้างสรรค์ และไม่ยึดถือประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้ง นอกจากนี้ ทั้ง 2 ประเทศให้คำมั่นหยุดยิงไปแล้ว แต่กัมพูชาเลือกเส้นทางจากต่างไทยโดยสิ้นเชิง ไทยมุ่งมั่นแสวงหาสันติภาพ ซึ่งต่างจากกัมพูชาที่แสวงหาความรุนแรง การวางรั้วลวดหนามของฝ่ายไทย เป็นไปเพื่อป้องกันการปะทะ และเพื่อสร้างความปลอดภัยของประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ และเหตุความรุนแรงอาจนำไปสู่การสูญเสีย […]