ริดสีดวงที่ดวงตา เกิดขึ้นได้อย่างไร อันตรายแค่ไหน และควรป้องกันอย่างไร
🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ศาสตราจารย์วุฒิคุณ นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานวิชาการ ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
โรคริดสีดวงดวงตา ทางการแพทย์เรียกว่า (Trachoma) คือโรคตาอักเสบเรื้อรัง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
ในประเทศไทย โรคริดสีดวงตาเคยระบาดใหญ่ ปี พ.ศ. 2500 ทำให้เด็กยุคนั้นสูญเสียการมองเห็นมาจนถึงปัจจุบันนี้ เนื่องจากไปอยู่ระยะสุดท้ายของโรคที่เรียกว่า “ริดสีดวงตา”
ปัจจุบัน โรคริดสีดวงตาพบได้น้อยมากในประเทศไทย
โรคริดสีดวงตา เกิดขึ้นได้อย่างไร
โรคริดสีดวงตา (Trachoma) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า คลามีเดียทราโคมาทิส (Chlamydia trachomatis)
ในสมัยก่อน สุขอนามัยไม่ค่อยดี การไม่รักษาความสะอาด ใช้มือไปจับดวงตาบ่อย ๆ หรือคนที่ติดเชื้อมีการนำเสื้อผ้าผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตัวที่มีการปนเปื้อนของเชื้อคลามีเดียไปซักล้างในแหล่งน้ำของชุมชน ทำให้เกิดการกระจายของเชื้อได้
หลังจากมีการติดเชื้อแบคทีเรียคลามีเดียทราโคมาทิสก็จะเกิดการอักเสบต่อเนื่อง แบ่งระยะตามองค์การอนามัยโลก (WHO) ออกเป็น 5 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1. มีตุ่มที่เยื่อบุตา (ใต้หนังตาบน)
ระยะที่ 2. เยื่อบุตาทั่ว ๆ ไป แดง อักเสบ
ระยะที่ 3. มีแผลเป็นที่เยื่อบุตา (ใต้หนังตาบน)
ระยะที่ 4. มีขนตาเกเข้า คือเกเข้าตาไปครูดเยื่อบุตาและกระจกตา (Trichiasis)
ระยะที่ 5. มีฝ้าขาวที่ตาดำ
ทั้งระยะที่ 4. และ 5. สามารถทำให้ตาบอดได้ ต้องรักษาโดยวิธีการผ่าตัด
การรักษาริดสีดวงตา
การรักษาโรคริดสีดวงตาขึ้นกับระยะที่เป็น
ถ้ามีเยื่อบุตาอักเสบ ตาแดง เคืองตา มีขี้ตา จักษุแพทย์จะนำขี้ตาไปตรวจหาเชื้อ ถ้าพบว่าเป็นเชื้อคลามีเดีย ก็รักษาด้วยการใช้ยาฆ่าเชื้อหยอดตา
กรณีไปพบจักษุแพทย์ค่อนข้างช้าและเกิดผลกระทบตามมาแล้ว มีการหลุดลอกของผิวเยื่อบุตาดำ เยื่อบุตาขาว รวมทั้งเปลือกตาด้านใน ทำให้เป็นพังผืด หรือติดกันของบริเวณผิวดวงตา การรักษาจำเป็นต้องใช้การผ่าตัดช่วยให้ผิวกระจกตา ผิวเยื่อบุตาขาว ผิวเปลือกตาด้านในกลับมาเหมือนคนปกติ ถือว่าเป็นการรักษาที่ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะคนที่เป็นมานานหลายสิบปีโอกาสที่จะทำให้กลับมามองเห็นเหมือนคนปกติค่อนข้างยาก แต่ก็อยู่ในวิสัยที่จะไปตรวจและจักษุแพทย์สามารถทำการรักษาได้ด้วยการผ่าตัดทำให้ผู้ป่วยกลับมามองเห็นได้
ริดสีดวงตา มีสาเหตุการเกิดเหมือนกับริดสีดวงอวัยวะอื่น หรือไม่ ?
ร่างกายของคนเรามี “ริดสีดวง” 3 แห่ง เรียกแตกต่างกัน ได้แก่
1. ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids) คือ อาการที่หลอดเลือดบริเวณทวารหนักและลำไส้ตรงส่วนล่างจะมีขนาดใหญ่ขึ้น เหมือนหลอดเลือดขอด เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมสุขภาพ
2. ริดสีดวงจมูก (Nasal Polyps) คือติ่งเนื้อ หรือก้อนในจมูกที่ไม่เป็นมะเร็ง แม้ว่าติ่งเนื้อในจมูกนี้จะไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวด แต่ถ้าหากมีขนาดใหญ่หรือมีอยู่ด้วยกันหลายก้อนอาจขัดขวางทางเดินหายใจ ทำให้หายใจลำบาก หรือคัดจมูก
3. ริดสีดวงตา (Trachoma) คือโรคตาอักเสบเรื้อรัง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย มักพบในพื้นที่ที่มีแมลงชุกชุม ฝุ่นมาก โรคริดสีดวงตาสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสโดยตรง หรืออาจติดจากการใช้ข้าวของเครื่องใช้ร่วมกัน หรือการว่ายน้ำในแหล่งน้ำเดียวกันก็ได้
ถึงแม้จะใช้คำว่า “ริดสีดวง” แต่เป็นคนละโรคกัน เกิดจากสาเหตุที่ต่างกัน รวมถึงการรักษาก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงด้วย
ในคนที่มีเยื่อบุตาอักเสบ ตาแดง มีขี้ตามาก แต่มีความกังวลว่าติดเชื้อคลามีเดียเป็นริดสีดวงตาหรือไม่ แนะนำให้ไปพบจักษุแพทย์เพื่อนำขี้ตาตรวจหาเชื้อ ก็จะสามารถบอกได้ว่าเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียทั่วไป หรือติดเชื้อคลามีเดียที่ทำให้เป็นริดสีดวงตาได้
ปัจจุบันถือว่าค่อนข้างโชคดี เพราะสุขอนามัยของคนไทยดีขึ้น สิ่งแวดล้อมได้รับการดูแลเรื่องความสะอาดมากขึ้น การแพร่ระบาดของเชื้อคลามีเดียต้นเหตุของโรคริดสีดวงตาก็ไม่ปรากฏเป็นเวลานานแล้ว
รักษาสุขภาพของดวงตาให้ปลอดภัยจากโรคต่าง ๆ จะช่วยให้การมองเห็นดีและใช้ดวงตาไปได้อีกยาวนาน
สัมภาษณ์โดย พีรพล อนุตรโสตถิ์
เรียบเรียงโดย คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล
ดูเพิ่มเติมรายการ ชัวร์ก่อนแชร์ FACTSHEET : ริดสีดวงที่ดวงตา
หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare
สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter