22 มิถุนายน 2567
แปลและเรียบเรียงบทความโดย: อดิศร สุขสมอรรถ
ตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล
ความสำเร็จของการใช้วัคซีน mRNA ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เปิดโอกาสให้มีการนำเทคโนโลยี mRNA ไปต่อยอดเพื่อการป้องกันและรักษาโรคต่าง ๆ ซึ่งการทดลองที่ได้รับการจับตามากที่สุดคือการใช้วัคซีน mRNA สำหรับการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง
วัคซีน mRNA เพื่อการรักษามะเร็ง ไม่ใช่แค่ป้องกันมะเร็ง
mRNA สำหรับการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ไม่ใช่วัคซีนเพื่อป้องกันการป่วยเป็นมะเร็ง แต่เป็นวัคซีนที่ใช้เพื่อรักษาผู้ป่วยมะเร็งโดยเฉพาะ
วัคซีน mRNA เพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19 และวัคซีน mRNA เพื่อรักษาผู้ป่วยมะเร็งมีโครงสร้างที่คล้ายกัน คือการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายด้วยการใช้สารพันธุกรรม RNA ดัดแปลงที่ห่อหุ้มด้วยอนุภาคไขมัน Lipid Nanoparticle ฉีดเข้าสู่ร่างกาย
แต่ความต่างอยู่ที่ mRNA ในวัคซีนผู้ป่วยมะเร็งคือรหัสพันธุกรรมที่กระตุ้นให้เซลล์ในร่างกายสร้างโปรตีนที่คล้ายกับของเซลล์มะเร็งของผู้ป่วยมะเร็ง (Tumor-Specific Antigens และ Neoantigens) เพื่อให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายจดจำและพุ่งเป้าทำลายเซลล์มะเร็งโดยเฉพาะ โดยไม่กระทบต่อเซลล์ปกติของผู้ป่วย
วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล
เนื่องจากเซลล์มะเร็งของผู้ป่วยแต่ละรายมีความเฉพาะเจาะจง การผลิตวัคซีน mRNA รักษามะเร็งให้สำเร็จ จำเป็นต้องนำเซลล์มะเร็งของผู้ป่วยมาใช้ในการผลิตวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล ซึ่งเป็นวิธีการที่ช่วยเพิ่มโอกาสการรักษาผู้ป่วยมะเร็งแต่ละรายได้อย่างมาก
ฟิลลิป ซานแทนเจโล นักวิจัยมะเร็งจากมหาวิทยาลัยเอมอรี และผู้นำโครงการวิจัยวัคซีน mRNA ซึ่งได้รับทุนจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ชี้แจงว่า เทคโนโลยี mRNA คือวิธีการที่เรียบง่ายในการสอนให้เซลล์ผลิตโปรตีนที่จำเป็นต่อการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อเร่งกระบวนการกำจัดเซลล์มะเร็งโดยเฉพาะ
ความคืบหน้าวัคซีน mRNA เพื่อรักษามะเร็งผิวหนัง
หนึ่งในวัคซีน mRNA เพื่อรักษามะเร็งที่มีความก้าวหน้าในการทดลองมากที่สุด ได้แก่วัคซีน mRNA ที่ร่วมผลิตโดยบริษัทยา Moderna (mRNA-4157) และ Merck (V940) เพื่อรักษามะเร็งผิวหนังชนิด Melanoma ซึ่งเป็นหนึ่งในมะเร็งที่มีความรุนแรงอย่างมาก
ในการทดลองทางคลินิกระยะที่ 2 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2024 มีอาสาสมัครที่เป็นผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังชนิด Melanoma ซึ่งผ่านการรักษาด้วยการผ่าตัดแล้ว มาร่วมทดลองวัคซีนจำนวน 157 ราย
การทดลองแบ่งกลุ่มควบคุมเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาแอนติบอดี้รักษาโรคมะเร็งชนิด KEYTRUDA (pembrolizumab) จำนวน 50 ราย และกลุ่มทดลองที่รักษาด้วยยา KEYTRUDA ร่วมวัคซีนจำนวน 107 ราย
เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2024 บริษัท Moderna ได้ประกาศผลการทดลองทางคลินิกระยะที่ 2b โดยพบว่า กลุ่มทดลองที่ใช้ยารักษามะเร็งร่วมกับวัคซีน ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งซ้ำหรือเสียชีวิตจากมะเร็งได้มากกว่ากลุ่มควบคุมที่ใช้ยารักษามะเร็งอย่างเดียวที่ 49% และการใช้วัคซีนร่วมกับยารักษามะเร็ง ลดการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังอวัยวะอื่น ๆ มากกว่าการใช้ยารักษามะเร็งอย่างเดียวถึง 62%
ส่วนอัตราการรอดชีวิตโดยมะเร็งไม่เกิดซ้ำอีก (Recurrence-Free Survival Rate) ในระยะเวลา 2.5 ปี พบว่า กลุ่มควบคุมที่ใช้ยารักษามะเร็งอย่างเดียวอยู่ที่ 55.6% ส่วนกลุ่มทดลองที่ใช้ยารักษามะเร็งร่วมกับวัคซีนอยู่ที่ 74.8%
ส่วนอาการข้างเคียงจากผู้รับวัคซีน mRNA เพื่อรักษาผิวหนัง (mRNA-4157) ที่พบส่วนใหญ่ได้แก่ อาการอ่อนเพลีย หนาวสั่น และปวดบริเวณที่ฉีดยา
บริษัทยา Moderna และ Merck ยังได้ประกาศการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 กับผู้ป่วยความเสี่ยงสูงจากมะเร็งผิวหนังชนิด Melanoma และผู้ป่วยมะเร็งปอดชนิดเซลล์ที่ขนาดไม่เล็ก (non-small cell lung cancer) รวมถึงการทดลองทางคลินิกระยะที่ 2 กับผู้ป่วยมะเร็งเนื้อเยื่อไต (Renal Cell Carcinoma) และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ (Urothelial carcinoma) และการทดลองทางคลินิกระยะที่ 2/3 กับผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังชนิด Cutaneous Squamous Cell Carcinoma
ความคืบหน้าวัคซีน mRNA เพื่อรักษามะเร็งตับอ่อน
ขณะเดียวกัน บริษัทยา BioNTech และ Genentech ได้ร่วมกันทดลองวัคซีน mRNA เพื่อรักษาหนึ่งในมะเร็งตับอ่อนชนิดที่ร้ายแรงที่สุด ได้แก่ มะเร็งท่อน้ำดีของตับอ่อน (Pancreatic Ductal Adenocarcinoma)
ในการทดลองทางคลินิกระยะที่ 1 เมื่อพฤษภาคม 2023 เป็นการทดลองกับผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อนที่ผ่านการผ่าตัดแล้วจำนวน 15 ราย โดยรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ยาแอนติบอดี้รักษาโรคมะเร็งชนิด Tecentriq (Atezolizumab) และวัคซีน mRNA เพื่อรักษามะเร็งจำนวน 9 โดส ซึ่งประกอบด้วย Neoantigens หรือโปรตีนที่คล้ายกับของเซลล์มะเร็งของผู้ป่วยมะเร็งจำนวน 20 ชนิด
การทดลองพบว่า ผู้ป่วยครึ่งหนึ่งได้รับการกระตุ้นการทำงานเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์อย่างสูงหลังได้รับวัคซีน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราการรอดชีวิตโดยมะเร็งไม่เกิดซ้ำอีก (Recurrence-Free Survival Rate) สูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการกระตุ้นการทำงานของทีเซลล์
โดยพบว่าหลังจากผ่านไปแล้ว 3 ปี กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการกระตุ้นภูมิคุ้มกันจากวัคซีน mRNA ยังมีระดับของภูมิคุ้มกันที่สูงเช่นเดิม
ความสำเร็จที่ต่อยอดจากวัคซีนโควิด-19
ฟิลลิป ซานแทนเจโล นักวิจัยมะเร็งจากมหาวิทยาลัยเอมอรี มองว่าการอุบัติของโรคโควิด-19 คือส่วนกระตุ้นให้การใช้เทคโนโลยี mRNA เพื่อการรักษาถูกพัฒนาแบบก้าวกระโดด ทั้งการวิจัยและการผลิตในวงกว้าง ซึ่งการใช้วัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA อย่างแพร่หลาย ยังเป็นการยืนยันประสิทธิผลและความปลอดภัยของวัคซีน mRNA อีกด้วย
ดร.เจมส์ เอ. ฮอกซี ศาสตราจารย์กิตติคุณ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย เปิดเผยว่า การวิจัยวัคซีน mRNA เท่าที่ผ่านมาล้วนประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจ เห็นได้ชัดเจนว่าวัคซีน mRNA ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อลดการเติบโตของเซลล์มะเร็งและยับยั้งการกลับมากำเริบของมะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่ต้องรอการพิสูจน์คือผลการรักษาในระยะยาว ว่าการใช้วัคซีน mRNA สามารถยับยั้งมะเร็งได้นานเพียงใด ซึ่งหลักฐานที่พิสูจน์ได้ในปัจจุบันคือ เทคโนโลยี mRNA ช่วยพัฒนามาตรฐานการรักษาผู้ป่วยมะเร็งอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ข้อมูลอ้างอิง :
https://www.factcheck.org/2024/03/scicheck-social-media-posts-misinterpret-biden-on-mrna-cancer-vaccines/
https://investors.modernatx.com/news/news-details/2024/Moderna–Merck-Announce-3-Year-Data-For-mRNA-4157-V940-in-Combination-With-KEYTRUDAR-pembrolizumab-Demonstrated-Sustained-Improvement-in-Recurrence-Free-Survival–Distant-Metastasis-Free-Survival-Versus-KEYTRUDA-in-Patients-With-High-Risk-Stage-IIIIV/default.aspx
https://www.nature.com/articles/s41586-023-06063-y
หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare
สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter