23 เมษายน 2567
แปลและเรียบเรียงบทความโดย: อดิศร สุขสมอรรถ
ตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล
ความอื้อฉาวของ Plandemic : The Hidden Agenda Behind Covid-19 ทำให้ มิกกี วิลลิส เดินหน้าผลิตผลงานภาคต่อในรูปแบบสารคดีขนาดยาวในชื่อ Plandemic : Indoctornation เพื่อเผยแพร่ในอีก 4 เดือนต่อมา
มิกกี วิลลิส อ้างว่าผลงานสารคดีความยาว 84 นาทีชิ้นนี้ เปรียบเสมือนผลงานฉบับเต็มของ Plandemic 1 เนื่องจากมีเนื้อหาที่เจาะลึกยิ่งกว่าเดิม จุดประสงค์เพื่อตอบโต้สื่อมวลชนและ Fact Checker ที่จับผิดผลงานก่อนหน้านี้ของเขา
แต่การที่ผู้สร้าง Plandemic 2 ประกาศวันเผยแพร่ผลงานอย่างชัดเจนในวันที่ 18 สิงหาคม 2020 ส่งผลให้สำนักข่าวและแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ มีเวลาวางแผนรับมือมากกว่า Plandemic 1 ทำให้ผลกระทบจากการเผยแพร่ Plandemic 2 น้อยกว่าสารคดีฉาวเรื่องก่อนอย่างมาก
แม้ผู้สร้างจะอ้างว่า Plandemic 2 ทำยอดผู้ชมในวันเปิดตัวถึง 1.2 ล้านครั้ง แต่การวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อพบว่า Plandemic 2 ล้มเหลวด้านการสร้างผลกระทบบนสื่อสังคมออนไลน์ เนื่องจากถูกจำกัดการนำเสนอเกือบทุกช่องทาง ทั้ง YouTube Twitter และ TikTok
Plandemic 2 ไปสร้างการตอบรับในแพลตฟอร์ม เช่น BitChute แพลตฟอร์มของกลุ่มทฤษฎีสมคบคิด โดยทำยอดวิวทาง BitChute ในช่วงเปิดตัวไปได้ 40,000 วิว
Plandemic : Indoctornation ยังได้รับเสียงวิจารณ์ในแง่ลบยิ่งกว่าภาคก่อน โดยมองว่าวิธีการเล่าเรื่องของ Plandemic 2 ขาดความชัดเจน เต็มไปด้วยข้อกล่าวหาแต่ไม่อาจนำไปสู่ข้อสรุปใด ๆ ได้เลย
CDC ถือสิทธิบัตรไวรัสโคโรนาเพื่อวางแผนการแพร่ระบาด – ไม่จริง
เนื้อหาของ Plandemic : Indoctornation เต็มไปด้วยการกล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐาน อาทิ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (CDC) ได้จดสิทธิบัตรสารพันธุกรรมและวิธีการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา หลังการระบาดของโรคซาร์สในสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อปี 2003 เพื่อหวังควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในอนาคต
แม้ CDC จะได้ถือสิทธิบัตรสารพันธุกรรมและวิธีการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาในปี 2007 ตามที่กล่าวอ้าง แต่จุดประสงค์ของ CDC คือการรับประกันว่าข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาจะเป็นสาธารณสมบัติ และการวิจัยเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาจะไม่ตกเป็นลิขสิทธิ์ทางการค้าของหน่วยงานใด
โครงการวัคซีนโปลิโอของ บิลล์ เกตส์ ทำให้เด็กอินเดียเป็นอัมพาตนับแสน – ไม่จริง
มีการอ้างงานวิจัยที่พบว่า โครงการรณรงค์วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอของ บิลล์ เกตส์ ระหว่างปี 2000-2017 เป็นสาเหตุทำให้เด็กชาวอินเดียป่วยเป็นอัมพาตจากวัคซีนกว่า 490,000 ราย
ข้ออ้างดังกล่าว นำมาจากงานวิจัยปี 2018 ที่พบความสัมพันธ์ระหว่างโรคกล้ามเนื้ออัมพาตอ่อนปวกเปียกเฉียบพลัน (Acute Flaccid Paralysis : AFP) กับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอในประเทศอินเดียระหว่างปี 2000-2017
อย่างไรก็ดี งานวิจัยดังกล่าวถูกวิจารณ์เรื่องความบกพร่องในระเบียบวิธีวิจัย โดยเฉพาะการนำเสนออาการอัมพาตของเด็กอายุระหว่าง 5-15 ปี ทั้ง ๆ ที่โครงการวัคซีนโปลิโอเน้นให้วัคซีนแก่เด็กอายุน้อยกว่า 5 ขวบลงไป
นอกจากนี้ การติดเชื้อไวรัสโปลิโอยังเป็นสาเหตุสำคัญของการป่วยเป็นอัมพาตอีกด้วย
องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานถึงความเป็นไปได้ของการติดเชื้อโปลิโอจากการฉีดวัคซีน แต่โอกาสเกิดน้อยมากหรือมีเพียง 1 รายต่อวัคซีนโปลิโอ 2.7 ล้านโดสเท่านั้น โดยระหว่างปี 2000-2017 มีการพบผู้ป่วยโปลิโอจากการฉีดวัคซีนเพียง 17 รายเท่านั้น
โดยปี 2014 WHO ยังได้ยกย่องมูลนิธิ Gates Foundation ในฐานะที่มีส่วนสำคัญทำให้โรคโปลิโอถูกกำจัดให้หมดไปจากภูมิภาคเอเชียใต้ ยกเว้นแค่ปากีสถานและอัฟกานิสถานเท่านั้น
Event 201 คือการประชุมเพื่อวางแผนการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 – ไม่จริง
รวมถึงข้ออ้างที่ว่า มีการประชุมลับ ๆ โดยตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนชั้นนำของโลก เพื่อวางแผนการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือที่รู้จักในชื่อ Event 201
แม้การประชุมที่เรียกว่า Event 201 จะมีอยู่จริง แต่การประชุมดังกล่าวไม่ใช่การวางแผนเพื่อการแพร่ระบาดไวรัสตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด
Event 201 คือโครงการวิจัยรูปแบบการจำลองสถานการณ์ฉุกเฉิน (Tabletop Exercise) จัดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2019 หรือเพียง 2 เดือนก่อนการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
งานดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน Johns Hopkins Center for Health Security (CHS) หน่วยงาน World Economic Forum และมูลนิธิ Bill & Melinda Gates Foundation เพื่อจำลองการรับมือภัยจากเชื้อโรค หากเกิดการแพร่ระบาดในอนาคต
เนื้อหาในงานประชุม Event 201 ได้จำลองสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ที่เริ่มแพร่ระบาดจากค้างคาวสู่สุกร และจากสุกรและสู่มนุษย์ เริ่มพบเชื้อจากฟาร์มสุกรในประเทศบราซิล ก่อนแพร่ระบาดไปยังหลายประเทศในลาตินอเมริกาและยุโรป การไม่มีวัคซีนป้องกันโรคในช่วงปีแรก ทำให้เชื้อแพร่กระจายไปทั่วโลก ตั้งแต่สหรัฐอเมริกาจนถึงสาธารณรัฐประชาชนจีน การระบาดจะดำเนินเป็นเวลา 18 เดือน คร่าชีวิตผู้คนไป 65 ล้านคน สั่นคลอนระบบเศรษฐกิจหลายประเทศ จนสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย เมื่อผู้คนเริ่มยอมรับแนวทางการป้องกันการแพร่เชื้อ และเข้ารับการฉีดวัคซีนในอัตรา 80-90% ของจำนวนประชากร
แม้เนื้อหาของงาน Event 201 จะถูกกลุ่มเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดนำไปสร้างความเข้าใจผิดว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นสิ่งที่ถูกวางแผนเอาไว้ แต่จุดประสงค์ของ Event 201 คือการรวบรวมคำแนะนำและการศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ มาจำลองวิกฤตการณ์โรคระบาดที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เพื่อให้ทุกฝ่ายมีความพร้อมในการรับมือก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง
ก่อนหน้านี้ Johns Hopkins Center for Health Security เคยได้จัดโครงการวิจัยรูปแบบการจำลองสถานการณ์ฉุกเฉินมาแล้วหลายครั้ง ทั้ง Dark Winter ในปี 2001 Atlantic Storm ในปี 2005 และ Clade X ในปี 2018
World Economic Forum ย้ำว่าแต่ละปีจะมีการแพร่ระบาดของโรคติดต่อทั่วโลกกว่า 200 ชนิด การเตรียมพร้อมรับมือก่อนเหตุการณ์จริงจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ข้อมูลอ้างอิง :
https://www.politifact.com/article/2020/aug/18/fact-checking-plandemic-2-video-recycles-inaccurat/
http://www.mythdetector.ge/en/myth/what-bible-believing-christians-prediction-about-future-pandemic-based
https://en.wikipedia.org/wiki/Plandemic
หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare
สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter