กรุงเทพฯ 20 ก.ค. – การเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทย ต้องเลื่อนออกไปอีก 30 วัน หลังจากมีปัญหาเรื่องสิทธิของกรรมการบริหาร และคุณสมบัติของสโมสรสมาชิก
หลังจาก “เฮียฮง” นายสุนทร จารุมนต์ นายกสมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทย บริหารงานมาครบวาระ 4 ปี ในที่สุดวันนี้ถึงคิวที่ต้องลงชิงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทย สมัยที่ 2 ภายใต้การสนับสนุนของ “คิวทอง” นายศักดา รัตนสุบรรณ แต่ต้องพบกับผู้ท้าชิงตำแหน่งหนุ่มไฟแรง “เอสวัน” นายไชยพงศ์ กรวสุรมย์ นักธุรกิจวงการสนุกเกอร์ และผู้จัดการทีมชาติไทย ที่ได้รับการสนับสนุนจาก “ต๋อง ศิษย์ฉ่อย” นายวัฒนา ภู่โอบอ้อม นักสอยคิวชื่อดัง และนายสินธุ พูนศิริวงศ์ อดีตนายกสมาคม 16 สมัย
การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้ที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงทั้งหมด 33 เสียง แบ่งออกเป็นเสียงจากกรรมการบริหารสมาคม 18 เสียง และ 15 เสียง จากสโมสรสมาชิก ท่ามกลางสื่อมวลชนสายกีฬาที่เข้าไปทำข่าวเป็นสักขีพยานจำนวนมาก
เมื่อถึงวาระการเลือกตั้งนายกสมาคมคนใหม่ ได้มีผู้แทนสโมสรสมาชิกบางคนเรียกร้องให้ตรวจสอบคุณสมบัติของกรรมการบริหารที่หมดวาระไปแล้ว ว่ายังสามารถลงคะแนนเสียงได้หรือไม่ จนผู้แทนจากการกีฬาแห่งประเทศไทยต้องออกมาชี้แจงตามข้อบังคับของสมาคมว่า หากคณะกรรมการบริหารหมดวาระจะไม่สามารถลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้ เพราะการหมดวาระของสมาคมคือเมื่อวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา จึงทำให้กรรมการบริหารทั้ง 18 คน หมดสิทธิลงคะแนนเสียงทันที เหลือเพียงแค่ 15 สโมสร ที่มีสิทธิลงคะแนนเสียง
เมื่อมีการตรวจสอบคุณสมบัติของสโมสรสมาชิกทั้ง 15 สโมสร กลับมีผู้ที่มีเอกสารถูกต้องตามเงื่อนไขเพียงแค่ 3 สโมสรเท่านั้น ที่ประชุมจึงลงมติขอคะแนนเสียงจากสโมสรสมาชิกที่มีจำนวน 10 เสียง ให้เลื่อนการเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทย ออกไปก่อน และจะกลับมาเลือกตั้งใหม่ภายใน 30 วัน โดยจะแจ้งวันเวลาที่ชัดเจนต่อไป
นายสุนทร จารุมนต์ นายกสมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ เอกสารหลักฐานของผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงยังไม่สมบูรณ์ จึงต้องเลื่อนการเลือกตั้งออกไปภายใน 30 วัน ตนเองยอมรับตามมตินั้น แม้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจะมีกระแสโจมตีตนเองมาตลอดเวลา แต่ไม่ได้ไปโต้แย้งอะไร ส่วนเรื่องเงินรางวัลที่นักกีฬาบอกว่าไม่ได้รับและออกช้าจากสถานการณ์โควิด-19 ทางสมาคมสำรองจ่ายไปให้แล้ว
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น หากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทำหน้าที่ด้วยความถูกต้อง โปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง วงการสอยคิวไทย และวงการกีฬาไทย จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระยะเวลาอีกไม่เกิน 30 วัน ต้องมาลุ้นกันว่าวงการสอยคิวไทยจะได้ผู้นำคนเก่าหรือผู้นำหน้าใหม่.-สำนักข่าวไทย