“พัทยา มาราธอน 2025” โตสวนกระแส ยอดนักวิ่งทะลุ 20,000 คน จัดยิ่งใหญ่ 19-20 ก.ค.นี้ คาดเงินสะพัด 370 ล้านบาท

นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มอบหมายให้นายจักรพรรดิ์ คล่องพยาบาล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานแถลงข่าวความพร้อม ในการจัดมหกรรมการแข่งขันวิ่งมาราธอนส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับโลก ที่ในปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในรายการวิ่งมาราธอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศ รายการ “Amazing Thailand Pattaya Marathon 2025 presented by MAMA” ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมอมารี พัทยา จ.ชลบุรี โดยมีนายพงศ์ธสิษฐ์ ปิจนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี, นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา, นายบันลือ กุลละวณิชย์ ประธานสภาเมืองพัทยา, นายกฤษณะ บุญสวัสดิ์ รองนายกเมืองพัทยา, นายเตชวัศ กลิ่นภักดี รองผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพัทยา, พล.ต.อาณัติ รัตนพล ประธานฝ่ายเทคนิคสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์, พ.ต.อ.เอนก สระทองอยู่ ผู้กำกับ สภ.เมืองพัทยา, นายปราจีน เอี่ยมลำเนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน), นายพีระพงศ์ เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ ไตรลีก เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด, นายกอบเกียรติ แสงวนิชย์ ผู้อำนวยการจัดการแข่งขัน จากไทยแลนด์ไตรลีก, สมาชิกสภาเมืองพัทยา, กลุ่มผู้สนับสนุนภาครัฐและภาคเอกชน แขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชน ที่มาร่วมในงานแถลงข่าวอย่างคับคั่ง


นายจักรพรรดิ์ คล่องพยาบาล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า “ต้องขอแสดงความยินดีกับคณะกรรมการจัดการแข่งขันฯ ที่สามารถทำให้การจัดการแข่งขันพัทยามาราธอนในปีนี้ ได้รับความสนใจจากเหล่านักวิ่งทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นจำนวนมากกว่า 2 หมื่นคน ซึ่งหากรวมจำนวนของผู้ติดตาม ครอบครัว และเจ้าหน้าที่อีก 1 เท่าของผู้แข่งขันแล้ว ก็ต้องถือว่า รายการพัทยามาราธอนเป็นหนึ่งในรายการวิ่งมาราธอนระดับต้นๆ ของประเทศที่จะสามารถสร้างรายได้กลับเข้าสู่ท้องถิ่นได้หลายเท่าตัว เมื่อเทียบกับงบประมาณของการจัดงานในแต่ละครั้ง เมืองพัทยาเป็นเมืองสำคัญของภาคตะวันออก อยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC เป็นเมืองที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่ประเทศทางด้านการท่องเที่ยวในแต่ละปีมากกว่า 2 แสนล้าน เป็นเมืองที่มีศักยภาพด้านการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกสูง และที่สำคัญ รัฐบาลมีนโยบายที่จะสนับสนุนและส่งเสริมโครงการสปอร์ตซิตี้ของจังหวัดชลบุรีอย่างเต็มที่ โดยมุ่งหวังให้ชลบุรี และเมืองพัทยาเป็นศูนย์กลางด้านการกีฬาและการท่องเที่ยวของภาคตะวันออก”

“ผมต้องขอชื่นชมการทำงานของเมืองพัทยาสำหรับงานพัทยามาราธอนในปีนี้เป็นอย่างยิ่ง ต้องถือว่า “โตสวนกระแส” กับรายการแข่งขันวิ่งมาราธอนในประเทศไทย เห็นได้จากจำนวนนักวิ่งทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่เพิ่มขึ้นถึง 30 % โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวญี่ปุ่น, ฟิลิปปินส์, จีน, ไต้หวัน และชาวรัสเซีย ที่จะเดินทางมาร่วมการแข่งขันในครั้งนี้พร้อมกับครอบครัว หรือผู้ติดตามอีกเป็นจำนวนมาก ผมจะนำข้อมูลต่าง ๆ กลับไปรายงานต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ถึงความสำเร็จของการจัดงานครั้งนี้ในลำดับต่อไป” ที่ปรึกษา รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กล่าว


ทางด้าน นายพงศ์ธสิษฐ์ ปิจนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี กล่าวว่า เมืองพัทยา เป็นศูนย์กลางของภาคตะวันออก และมีส่วนสำคัญกับการเจริญเติบโตของภูมิภาคนี้เป็นอย่างมาก ขณะที่พัทยามาราธอน ก็ถือเป็นมหกรรมกีฬามวลชนที่ยิ่งใหญ่ มีการจัดมาอย่างยาวนานต่อเนื่องถึง 32 ปี ถือเป็นงานประเพณีวิ่งมาราธอนที่ยาวนานที่สุดรายการหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันเมืองพัทยาได้ยกระดับศักยภาพของการจัดงานจนเป็นที่ยอมรับของนักวิ่งทั่วโลก และได้รับการรับรองให้เป็นการแข่งขันระดับนานาชาติ ถูกบรรจุอยู่ในปฏิทินวิ่งประจำปีของสมาคมกรีฑาโลก ทำให้มีนักวิ่งจากทั่วโลกเดินทางมาเข้าร่วมแข่งขันเป็นจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของการแข่งขัน ซึ่งถือว่าพัทยามาราธอนเป็นหนึ่งในมหกรรมกีฬาในภูมิภาคตะวันออกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปีนี้ ตนได้รับมอบหมายจากนายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ให้เข้ามาช่วยกำกับดูแลให้การแข่งขันพัทยา มาราธอน สามารถดำเนินไปได้ด้วยดีให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดงาน พร้อมทั้งกำชับให้หน่วยงานในสังกัดทุกภาคส่วนให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ จังหวัดชลบุรี มีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า งาน “พัทยา มาราธอน 2025” จะได้รับการยอมรับจากนักวิ่งทั่วโลก ว่าเป็นหนึ่งในงานวิ่งมาราธอนที่มีคุณภาพระดับโลก และคุ้มค่าที่สุดในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างแน่นอน

ขณะที่ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา กล่าวว่า “ตั้งแต่ผมเข้ามารับตำแหน่งนายกเมืองพัทยา ก็ได้มีโอกาสได้ร่วมงานกับทางไทยแลนด์ไตรลีก ผู้จัดการแข่งขันวิ่งมาราธอนมืออาชีพ ซึ่งตนได้เห็นพัฒนาการของการจัดการแข่งขันที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตนต้องขอขอบคุณ ทางคณะกรรมการจัดการแข่งขันฯ และทางไตรลีก ที่ช่วยประสานงานติดต่อสมาคมกรีฑาโลกให้ส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงได้เดินทางเข้ามาร่วมทำ Workshop และช่วยดูแลการทำงานในด้านต่างๆ ของงานพัทยามาราธอน ให้อยู่ในมาตรฐานของการจัดงานในระดับสากล อีกทั้ง ยังช่วยประสานงานและเจรจาให้ “พัทยา มาราธอน” ได้รับการรับรองและถูกบรรจุไว้ในปฏิทินการแข่งขันของสมาคมกรีฑาโลกได้สำเร็จ และจากรายงานสรุปความพร้อมในการจัดการแข่งขันของ Race Director ทำให้ทราบว่ามีจำนวนนักวิ่งจากทั่วโลกลงทะเบียนสมัครแข่งขันมากกว่าปีที่แล้วถึง 30 % ซึ่งหากรวมจำนวนนักวิ่งจำนวนมากกว่า 20,000 คน, จำนวนผู้ติดตาม และครอบครัวอีกมากกว่า 1 เท่าตัว หรือประมาณ 30,000 คน, จำนวนการจองห้องพักในช่วงแข่งขัน มากกว่า 20,000 ห้อง, จำนวนอาสาสมัคร เจ้าหน้าที่ นักเรียนและนักศึกษา ที่จะมาร่วมทำงานในหน้าที่ต่าง ๆ อีกกว่า 5,000 อัตรา รวมถึงการปิดถนนแบบ 100% หรือการสร้างรายได้หมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจของเมืองพัทยาได้สูงกว่า 350 ล้านบาท สิ่งเหล่านี้ จึงเป็นการยกระดับให้ “พัทยา มาราธอน” เขยิบขึ้นเป็นรายการวิ่งมาราธอนอันดับ 1 ของภาคตะวันออก และระดับแนวหน้าของประเทศไทยอย่างเต็มภาคภูมิ จึงใคร่ขอความร่วมมือจากชาวเมืองพัทยาทุกท่าน ให้เกียรติร่วมเป็นเจ้าภาพที่ดี ในการต้อนรับนักวิ่งและผู้ติดตามจำนวนหลายหมื่นคน ที่จะเดินทางมาจากทั่วประเทศ และอีก 68 ประเทศทั่วโลก เพื่อเข้าร่วมแข่งขันในช่วงสุดสัปดาห์ของวันที่ 19 ก.ค. และ 20 ก.ค.นี้” นายกเมืองพัทยา กล่าว

ส่วน พ.ต.อ.เอนก สระทองอยู่ ผู้กำกับ สภ.เมืองพัทยา กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจาก พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ให้มาร่วมในงานแถลงข่าว ซึ่งท่านผู้บัญชาการฯ เห็นว่าการจัดการแข่งขันรายการนี้ เป็นงานมาราธอนในระดับโลกที่จะสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศและเมืองพัทยา อีกทั้งยังสร้างรายได้ให้การท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ได้กำชับตนให้การสนับสนุนการจัดงานในครั้งนี้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลนักวิ่ง และประชาชนทั่วไปในด้านความปลอดภัยและการจราจรช่วงการแข่งขัน ครั้งนี้ คณะกรรมการจัดการแข่งขันฯ ได้มีการประชุมกับ สภ.เมืองพัทยา เพื่อซักซ้อมและทำความเข้าใจในส่วนของการบริหารจัดการด้านการจราจรบนพื้นที่แข่งขันในโซนต่าง ๆ มาแล้วหลายครั้ง จนมีความมั่นว่า จะสามารถกำกับดูแลการจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะนำเรียนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 เพื่อทราบ และได้ขออนุมัติออกข้อบังคับปิดการจราจรในช่วงการแข่งขันในวันเสาร์ที่ 19 ก.ค.68 ตั้งแต่เวลา 04.00 น.ถึงเวลาประมาณ 08.30 น. บนเส้นทางแข่งขันของระยะ 10 กม. และ 4.5 กม. 


ส่วนวันอาทิตย์ที่ 20 ก.ค.68 ตั้งแต่เวลา 00.00 น. ถึงเวลาประมาณ 11.00 น. บนเส้นทางแข่งขันของระยะมาราธอน 42.195 กม. และระยะฮาล์ฟ มาราธอน 21.1 กม. โดยรายละเอียดทางฝ่ายประชาสัมพันธ์ของเมืองพัทยา จะแจ้งให้ทราบในลำดับต่อไป ตนจึงขอความร่วมมือจากทุกท่าน โปรดหลีกเลี่ยงการจราจรบนเส้นทางแข่งขัน ในวันและเวลาที่กำหนด ต่อไป

ขณะที่ นายกอบเกียรติ แสงวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารไทยแลนด์ ไตรลีก ในฐานะผู้อำนวยการจัดการแข่งขัน กล่าวว่า “การแข่งขันครั้งนี้ได้รับความสนใจจากนักวิ่งทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติแห่สมัครจนเต็มจำนวน 20,250 คน หลังจากเปิดระบบรับสมัครไปเพียงไม่ถึง 1 สัปดาห์ เส้นทางแข่งขันในปีนี้ นักวิ่งทุกคนจะมีโอกาสได้วิ่งเลียบชายหาดของเมืองพัทยาและชายหาดจอมเทียน ซึ่งถือว่าเป็นรายการวิ่งมาราธอนที่ได้วิ่งเลียบชายหาดที่ยาวที่สุดของประเทศ นอกจากนี้ยังกำหนดจุดปล่อยตัวและเส้นชัยอยู่ ณ ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 ถนนพัทยาเหนือ ซึ่งสามารถรองรับนักวิ่งเป็นจำนวนมากได้ อีกทั้งยังมีความพร้อมในเรื่องที่จอดรถ และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านอื่นๆ มากมาย”

“การจัดการแข่งขันครั้งนี้จะจัดขึ้น 2 วัน คือ วันเสาร์ที่ 19 ก.ค.68 เป็นการแข่งขันระยะ 10 กม. และ 4.5 กม. ผู้เข้าแข่งขันในวันแรก จำนวน 9,392 คน และวันอาทิตย์ที่ 20 ก.ค.68 เป็นการแข่งขันระยะ 42.195 กม. และระยะ 21.1 กม. มีผู้เข้าร่วมอีกจำนวน 10,858 คน และจากข้อมูลของการรับสมัคร มีจำนวนนักวิ่งและผู้ติดตามเดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้รวมกันเป็นจำนวนมากถึง 53,489 คน จาก 68 ประเทศทั่วโลก โดยจะเปิดให้รับอุปกรณ์และเบอร์แข่งขันได้ตั้งแต่วันพฤหัสที่ 17 ก.ค.68 เป็นต้นไป ณ บริเวณลานอเนกประสงค์ ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 ถนนพัทยาเหนือ รายละเอียดของการแข่งขันศึกษาได้ทาง www.pattayamarathon.go.th” นายกอบเกียรติ กล่าวทิ้งท้าย

อนึ่ง การแข่งขันรายการ “AMAZING THAILAND PATTAYA MARATHON 2025 presented by MAMA” จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 32 มีผู้เข้าร่วมการแข่งขันจำนวน 20,250 คน มีผู้ติดตามอีก 33,239 คน คณะกรรมการจัดงานฯ ใช้อาสาสมัครและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจำนวน 5,000 อัตรา คาดว่าจะก่อให้เกิดรายได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวทั้งทางตรง และทางอ้อมมากกว่า 374 ล้าน โดยการแข่งขันแบ่งเป็น 4 ระยะ คือ ระยะมาราธอน 42.195 กม. ปล่อยตัวเวลา 03.30 น. สิ้นสุดการแข่งขันเวลา 10.30 น. มีจำนวนผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 3,349 คน ระยะฮาล์ฟมาราธอน 21.1 กม. ปล่อยตัวเวลา 05.10 น. สิ้นสุดการแข่งขันเวลา 08.40 น. มีจำนวนผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 7,509 คน ในวันที่ 20 ก.ค.68 ส่วนระยะ 10 กม. ปล่อยตัวเวลา 05.45 น.จำนวน 6,535 คน และระยะ 4.5 กม. จำนวน 2,857 คน จะปล่อยตัวเวลา 06.25 น. (วีลแชร์) และเวลา 06.30 น. (วิ่งแฟมิลี่รัน) ในวันเสาร์ที่ 19 ก.ค.68 สิ้นสุดการแข่งขันเวลา 08.00 น. โดยจุดปล่อยตัวและเส้นชัย ณ วงเวียนปลาโลมา ถนนพัทยาเหนือ หน้าศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พัทยา จัดโดยเมืองพัทยา ร่วมกับ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, จังหวัดชลบุรี, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, การกีฬาแห่งประเทศไทย, สมาคมกรีฑาโลก, สมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทยฯ และไทยแลนด์ไตรลีก สนับสนุนโดย มาม่า, โตโยต้า, ซูเปอร์สปอร์ต, เครื่องดื่มเกลือแร่สปอนเซอร์, หลักทรัพย์บัวหลวง, ผลิตภัณฑ์น้ำมันมวย, ผลิตภัณฑ์คอร์ นิวทริชั่น, อีโก้สปอร์ต, เทอร์มินอล 21 พัทยา

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

กองทัพภาคที่ 2 แชร์ข้อมูลอาวุธไฮเทคสำหรับยิงโดรน

นครราชสีมา 2 ส.ค.-กองทัพภาคที่ 2 แชร์ข้อมูลอาวุธสำหรับกำจัดโดรนโดยเฉพาะ ซึ่งล่าสุดได้ทดสอบระบบ ณ กองบิน 1 ศูนย์ทดสอบอาวุธทางอากาศ เรียบร้อยแล้ว ด้านชาวอุดรธานี แห่บริจาคหนังสติ๊กพร้อมลูกแก้ว ตามที่ทหารขอมาจำนวนมาก หลังทหารกัมพูชายังก่อกวน ยั่วยุ ทั้งขว้างก้อนหินใส่ และมีโดรนปริศนามาบินอีก จากกรณีที่ช่วงนี้ มีการตรวจพบโดรนไม่ทราบฝ่าย เข้ามาบินตรวจการณ์ในพื้นที่ที่ตั้งทางทหาร ทำให้หลายฝ่ายมีความกังวล และสงสัยว่าอาจเป็นภัยคุกคามร้ายแรงจากประเทศเพื่อบ้าน ที่กำลังมีปัญหาระหว่างประเทศกับประเทศไทย ทำให้เมื่อวานเพจกองทัพภาคที่ 2 ได้แชร์ข้อมูลอาวุธสำหรับกำจัดโดรนโดยเฉพาะ ซึ่งล่าสุดได้มีการทดสอบระบบ ณ กองบิน 1 ศูนย์ทดสอบอาวุธทางอากาศ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเมื่อวานนี้ (1 ส.ค.68) เฟซบุ๊กเพจ กองทัพภาคที่2 ได้แชร์ข้อมูลเพจ SMART Soldiers Strong ARMY พร้อมระบุข้อความว่า “หากศัตรูซ่อนตัวในเงามืด เราจะเป็นแสงที่มองเห็นมันก่อนใคร”เลเซอร์พร้อมยิง — ทหารไทยพร้อมรบโดยอาวุธชนิดนี้ คือ Directed Energy Weapon หรือ (DEW) เป็นอาวุธยุคใหม่ที่กองทัพอากาศไทยพัฒนาขีดความสามารถอย่างต่อเนื่อง […]

โฆษก ทบ. ซัดเขมรบิดเบือน กล่าวหาไทยทำร้าย 2 ทหารเขมร

2 ส.ค. – โฆษกกองทัพบก ซัด เขมรบิดเบือน กล่าวหาไทยทำร้าย 2 ทหารเขมรจนพิการและมีปัญหาทางจิต ยันมีหลักฐานชัดทำทุกอย่างภายใต้กติกาสากล จากกรณี สื่อกัมพูชาปั่นข่าวหนักโจมตีกล่าวหาไทย อ้างว่าปฏิบัติโหดกับ 2 ทหารกัมพูชาที่ถูกส่งกลับ จนพิการและมีปัญหาทางจิต พร้อมจะยื่นเรื่องถึงยูเอ็นนั้น ล่าสุดเมื่อเวลา 11.08 น. วันที่ 2 ส.ค.68 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า กรณีที่ทหารไทยจับกุม และควบคุมตัว ทหารกัมพูชา ภายหลังจากข้อตกลงหยุดยิง โดยกล่าวหาว่าไทยทำร้ายร่างกายอย่างไม่เป็นธรรมทำก่อนส่งกลับนั้น เป็นเพียงคำกล่าวหา บิดเบือนจากฝ่ายกัมพูชา และการหยุดยิงแบบฉับพลัน แต่สถานการณ์ความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธต่อกัน ยังไม่สิ้นสุดลงอย่างแท้จริงตามกฎหมายสากล กระบวนการฝ่ายทหารในการควบคุมตัวไว้ก่อน จึงยังสามารถทำได้ตามอนุสัญญาเจนีวา พล.ต.วินธัย กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ในส่วนของกองทัพบก มีแผนและพร้อมที่จะเชิญองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ICRC มาดูความเป็นอยู่ของเชลยศึกที่ถูกควบคุมตัว ซึ่งอยู่ในกรอบการดำเนินการตามขั้นตอนของอนุสัญญาเจนีวาอย่างสมบูรณ์ และชัดเจน หากกังวลเรื่องความเป็นอยู่ เพราะรู้เท่าทันว่าฝ่ายกัมพูชาจะนำเรื่องนี้ไปบิดเบือนทำลายความน่าเชื่อถือฝ่ายทหารไทย ทางผู้แทน UNHCR และ ICRC จึงสามารถขอเข้ามาดูได้ […]

ชาวบ้านร่วมวางดอกไม้ไว้อาลัยเหตุกัมพูชายิงจรวดใส่ร้านสะดวกซื้อ

ศรีสะเกษ 2 ส.ค.-เช้านี้บรรยากาศที่ปั๊มน้ำมันบ้านผือ อ.กันทรลักษ์ เต็มไปด้วยความสลด ชาวบ้านร่วมกิจกรรมวางดอกไม้แสดงความไว้อาลัยผู้เสียชีวิต จากเหตุถูกกัมพูชายิงจรวดใส่ และจับกลุ่มพูดคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชาวบ้านจากหมู่บ้านต่างๆในอำเภอกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ทยอยเดินทางมาที่ปั๊ม ที่ถูกกัมพูชาโจมตีโดยการยิงจรวด BM-21 ใส่ เมื่อวันที่24 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยจรวจตกใส่บริเวณร้านสะดวกซื้อ ส่งผลให้มีประชาชนเสียชีวิต 8 ราย และบาดเจ็บอีก 15 คน ในจำนวนผู้เสียชีวิตมีแม่และลูกวัย 8 ขวบ ชาวบ้านร่วมกันเขียนข้อความแสดงความไว้อาลัย ก่อนร่วมกันนำข้อความพร้อมดอกไม้ชูขึ้น เพื่อเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ว่าการที่ทหารกัมพูชาโจมตีพื้นที่พลเรือนถือเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม จากนั้นได้รวมกันนำดอกไม้ไปวางเพื่อแสดงความไว้อาลัยบริเวณด้านหน้าร้านสะดวกซื้อที่ถูกกัมพูชายิงจรวดใส่ นอกจากชาวบ้านแล้วยังมีเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร ที่มาร่วม วางดอกไม้ แสดงความไว้อาลัย ตัวแทนชาวบ้านบอกว่า การร่วมวางดอกไม้ในครั้งนี้เพื่อต้องการให้ผู้เสียชีวิตไปสู่ภพภูมิที่ดี พร้อมขอประณามกัมพูชา ที่เลือกยิงเป้าหมายเป็นประชาชน ทั้งที่ตำบลเมืองถือเป็นพื้นที่สีเขียว แต่ยังมีกระสุนตกใส่ และการที่เป็นพื้นที่สีเขียว จึงไม่ได้มีการอพยพประชาชน หากตกใส่หมู่บ้าน เชื่อว่าจะมีความสูญเสียเกิดขึ้นมากกว่านี้.-สำนักข่าวไทย

กองทัพบก ยกระดับมาตรการรับมือภัยคุกคามจากโดรน

กทม. 2 ส.ค.-กองทัพบกบูรณาการทุกภาคส่วน ยกระดับมาตรการรับมือภัยคุกคามจากโดรน หลังพบมีความพยายามบินตรวจการณ์ที่ตั้งทางทหาร ตามที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2568 เรื่องห้ามมิให้ผู้ใดบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน หรือ “โดรน” ที่ควบคุมการบินจากภายนอก, ทุกวัตถุประสงค์การใช้งาน, และทุกพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาในปัจจุบัน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารหรือหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ได้รับมอบหมาย มีอำนาจในการใช้ระบบต่อต้านโดรน (Anti-Drone System) รวมถึงสามารถดำเนินการทำลายโดรนจากภาคพื้นดินได้ทันที ในการนี้ พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก/รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ได้สั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 ถึง 4 และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 ถึง 4 ดำเนินมาตรการตามแนวทางดังต่อไปนี้ •ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด โดยมีรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ฝ่ายทหาร) เป็นผู้รับผิดชอบในการหารือและประสานการปฏิบัติกับส่วนราชการ หน่วยงาน และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาคเป็นผู้ทำหน้าที่ควบคุมและวางแผนภาพรวมในการป้องกันและต่อต้านการใช้โดรนไม่ทราบฝ่าย •ให้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ ได้แก่ จังหวัด ตำรวจภูธรจังหวัด หน่วยงานความมั่นคง ภาคเอกชน และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งจัดตั้งชุดเคลื่อนที่เร็ว ประกอบด้วยกำลังจากฝ่ายพลเรือน ตลอดจนตำรวจจากสถานีตำรวจภูธร […]