16 เม.ย. – แฟนบอลชาวไทย จะมีโอกาสได้ดูฟุตบอลโลก ผ่านฟรีทีวี มากน้อยแค่ไหน หลังจากบอร์ด กสทช. ถอนการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ออกจากประกาศ “Must Have”
คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ บอร์ด กสทช. มีมติเอกฉันท์ 7-0 ให้ยกเลิกกฎมัสต์แฮฟ (Must Have) สนับสนุนฟุตบอลโลก หรือให้ถอนการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ออกจากประกาศมัสต์แฮฟ ที่กำหนดให้ทัวร์นาเมนตน์นี้เป็น 1 ใน 7 รายการกีฬาที่ต้องมีถ่ายทอดสดให้ประชาชนรับชมฟรีทั่วประเทศ โดย นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. เผยว่า ที่ประชุมบอร์ด กสทช. มีมติเอกฉันท์ยกเลิกกฎ Must Have สนับสนุนฟุตบอลโลก เหตุผลเป็นกีฬาที่มูลค่าเชิงการตลาดสูง หลังที่ผ่านมา คณะกรรมการ กสทช. อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือ กทปส. ให้กับการกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ กกท. เพื่อถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ภายในกรอบวงเงิน 600 ล้านบาท จากจำนวนเต็ม 1,600 ล้านบาท จากที่รัฐบาล คสช. ต้องการคืนความสุขให้กับประชาชนเพื่อได้ดูฟุตบอลโลก 2022 ซึ่งเกิดเป็นกระแสวิจารณ์เป็นวงกว้าง และประเด็นถกเถียงอย่างหนักถึงความคุ้มค่า ทั้งที่ทีมชาติไทย ไม่ได้เข้าไปแข่งขันในรอบสุดท้าย และยังมีปัญหามาจนถึงปัจจุบัน
ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย กล่าวเห็นด้วยในหลักการ ที่ กสทช. ตัดฟุตบอลโลก ออกจาก “กฎมัสต์แฮฟ” เพราะฟุตบอลโลก เป็นสินค้าที่มีมูลค่า เชื่อว่าเอกชนจะสนใจเสนอตัวซื้อลิขสิทธิ์ ทำให้ลดภาระภาครัฐ และจะทำให้ผู้ที่ได้ลิขสิทธิ์ สามารถนำไปทำการตลาด และบริหารสิทธิ์ในการถ่ายทอดสด เพื่อหารายได้ตามลิขสิทธิ์ที่ได้จากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า
ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ยังแสดงความห่วงใยและมีสิ่งที่ต้องพึงระวังเมื่อเปิดเสรี เพราะการลงทุนของภาคเอกชนต้องทำในเชิงธุรกิจหาผลกำไร ภาครัฐจะต้องเข้ามาดูแลเพื่อให้แฟนบอลที่ไม่สามารถเข้าถึงการถ่ายทอดสด ได้มีโอกาสชมฟุตบอลโลก แต่ก็ต้องดูทิศทางและเงื่อนไขในอนาคต
สำหรับกฎมัสต์แฮฟ เดิมกำหนดให้รายการถ่ายทอดสดกีฬา 7 รายการฟรี ประกอบด้วย ซีเกมส์ อาเซียนพาราเกมส์ เอเชียนเกมส์ เอเชียนพาราเกมส์ โอลิมปิกเกมส์ พาราลิมปิกเกมส์ และฟุตบอลโลก แต่ตอนนี้จะเหลือเพียง 6 รายการเท่านั้น
เมื่อบอร์ด กสทช. มีมติแล้ว แฟนบอลชาวไทยคงต้องรอดูกันว่าฟุตบอลโลกครั้งต่อไป จะมีเอกชนรายใดกล้าลงทุนเข้าไปซื้อลิขสิทธิ์ที่มีมูลค่ามหาศาล มาทำการตลาดหรือไม่ และหากในอนาคต “ช้างศึก” ทีมชาติไทย สามารถผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้าย เราจะได้นั่งเชียร์ไทยสุดใจ ผ่านหน้าจอฟรีทีวีหรือไม่ .-สำนักข่าวไทย