9 พ.ย. 65-น.ส.วทันยา บุนนาค อดีตผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติไทยชุดเหรียญทองซีเกมส์ 2017 ที่ประเทศมาเลเซีย และส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมืองกรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีการถกเถียงถึงการนำเงินจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) จำนวน 1,600 ล้านบาท ไปใช้สนับสนุนค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ว่า ปัญหาของเรื่องนี้ทั้งหมดเกิดขึ้นจากกฎ Must Carry หรือ Must Have ที่ กสทช.ออกเป็นกฎไว้หลังจากการประมูลทีวีดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงรายการถ่ายทอดสดเวทีสำคัญระดับชาติโดยไม่ถูกปิดกั้นจากเจ้าของผู้ประมูลลิขสิทธิ์ เหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นในสมัยฟุตบอลโลกปี 2014
โดยกฎดังกล่าวของ กสทช. ฟังดูทีแรกเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร เป็นการออกกฎเพื่อปกป้องประชาชนไม่ให้ถูกเอาเปรียบ หรือถูกเพิ่มภาระจากเจ้าของธุรกิจโดยไม่จำเป็น แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับกลายเป็นว่ากฎ Must Carry ของกสทช. เป็นการบิดเบือน แทรกแซงกลไกตลาดในการซื้อขายลิขสิทธิ์ เพราะเป็นที่รู้ดีกันอยู่แล้วว่ามูลค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดรายการนั้นแปรผันตามฐานจำนวนผู้ชม ยิ่งมีคนดูมากเท่าไหร่ ค่าลิขสิทธิ์ก็ย่อมแพงขึ้นตาม ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า รายการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก ที่เป็นเวทีสำคัญ 4 ปีถึงจะวนกลับมาที สามารถเข้าถึงคนได้ทุกเพศทุกวัย จึงมีมูลค่าที่สูงเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับรายการถ่ายทอดประเภทอื่นๆ
“อันที่จริงในทางธุรกิจการลงทุนเงินจำนวนมหาศาลนั้นหากสามารถหารายได้จำนวนมาก คุ้มค่าต่อการลงทุนก็คงไม่ใช่ปัญหา แต่ในกรณีของประเทศไทยที่มีกฎ Must Carry นั้นทำให้เจ้าของธุรกิจไม่อยากเข้าไปลงทุน พูดง่ายๆก็คือ ลงทุนไปก็ไม่คุ้มค่าเพราะลิขสิทธิ์การถ่ายทอดไม่สามารถนำไปหารายได้เพื่อทำกำไรเพราะไม่ได้สิทธิ์ Exclusive ในทางกลับกันเจ้าของธุรกิจรายอื่นๆ ก็ไม่รู้จะจ่ายเงินไปทำไม เพราะถ้ามีคนไปซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดมา เดี๋ยวก็ได้อานิสงค์จากกฎ Must Carry ในการถ่ายทอดอยู่ดี” นางสาววทันยา กล่าว
นางสาววทันยา กล่าวต่อว่า เมื่อเป็นแบบนี้แล้วช่องโทรทัศน์ หรือเจ้าของแพลตฟอร์มที่ไหนจะอยากเข้าไปประมูลลิขสิทธิ์ เพราะเห็นชัดๆว่าไม่ได้ประโยชน์ แถมมีโอกาสขาดทุนชัดเจน คำถามคือแล้วทำไมเมื่อก่อนเราก็ดูรายการกีฬาสำคัญระดับโลกได้โดยไม่เคยมีปัญหาให้ต้องกวนใจแบบนี้ นั่นก็เพราะในอดีตช่องทีวี 3 5 7 9 หรือที่เรียกว่า“ทีวีพูล” ใช้วิธีร่วมลงขันกันซื้อลิขสิทธิ์ และนำรายการมาเฉลี่ยจัดสรรการถ่ายทอดกันตามสัดส่วนเงินที่ลงทุน ในส่วนของผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์ เจ้าของรายการอื่นๆ หากอยากได้เนื้อหา ฟุตเทจวีดีโอ ก็ต้องจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์ให้กับทีวีพูล รวมถึงเจ้าของสินค้าที่อยากมีผลิตภัณฑ์ของตัวเองออกอากาศในระหว่างการถ่ายทอดเพราะสามารถเข้าถึงคนดูจำนวนมาก ก็ต้องจ่ายเงินค่าสปอนเซอร์ในการสนับสนุน ทั้งหมดนี้เป็นการหารายได้ของผู้ประมูลลิขสิทธิ์ที่สามารถปฏิบัติกันมายาวนานโดยไม่มีปัญหาอะไร จนกระทั่งเกิดกฎ Must Carry ขึ้นมาอย่างทุกวันนี้-สำนักข่าวไทย