กรุงเทพฯ 13 ก.ค. – หมอเด็กห่วงเด็กไทยที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า ลดประสิทธิภาพการทำงานของสมอง มากกว่าเด็กที่ไม่เคยสูบถึง 3-4 เท่า ชี้นิโคตินสังเคราะห์ในบุหรี่ไฟฟ้ามีฤทธิ์เสพติดสูงกว่าเฮโรอีน โคเคน กัญชา ยาบ้า
เมื่อวันที่ 13 ก.ค.65 รศ.นพ.ชัยยศ คงคติธรรม หัวหน้าสาขาวิชาประสาทวิทยา ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวถึงประเด็นบุหรี่ไฟฟ้าว่า ขณะนี้สังคมไทยกำลังตื่นตระหนกกับปัญหากัญชาจะทำลายสมองเด็กและเยาวชน ขณะที่สถิติการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กไทยก็เพิ่มขึ้นจนน่าตกใจเช่นกัน สมองของมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตลอดเวลา ตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์จนถึงผู้ใหญ่ วัยรุ่นก็เป็นช่วงอายุหนึ่งที่สำคัญต่อการพัฒนาของสมอง มีกระบวนการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ ของสมอง คือ การเรียนรู้จากประสบการณ์จะกระตุ้นให้มีการเพิ่มขึ้นของการเชื่อมต่อ (synapse) ของเซลล์ประสาท และมีการสูญสลาย (pruning) ของการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทที่ไม่มีการใช้งาน ทำให้การทำงานของสมองที่สำคัญๆ เช่น การคิดวิเคราะห์ ความจำ การจัดระเบียบความคิด การควบคุมอารมณ์ สมาธิ และพฤติกรรมที่สร้างแรงบันดาลใจ จึงเกิดขึ้นในช่วงวัยรุ่นนี้
“ระบบสารสื่อประสาทที่จำเป็นต่อการพัฒนาของสมองในช่วงวัยนี้จะถูกรบกวนโดยตรงจากสารนิโคตินที่พบในบุหรี่มวน และนิโคตินสังเคราะห์ในบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งในการผลิตสามารถเติมและเพิ่มในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าได้สูงกว่าบุหรี่มวนถึง 10-100 เท่า นิโคตินสังเคราะห์มีคุณสมบัติที่เหนือกว่านิโคตินธรรมชาติ คือ ไม่ระคายคอ ทำให้เสพได้มาก ดูดซึมได้เร็วกว่าภายใน 7-10 วินาที จะเข้าสู่สมองไปกระตุ้นตัวรับนิโคทินิคอะเซทิลโคลีนในเซลล์ประสาท (nicotine acetylcholine receptors) ให้หลั่งโดปามีน ก่อให้เกิดความสุข ความสบาย อารมณ์ดี และทำงานได้ดี แต่ก็จะถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายเกิดอาการอยากและ ‘เสพติด’ ซึ่งนิโคตินมีอำนาจการเสพติด (addictivity) สูงที่สุด สูงกว่าเฮโรอีน โคเคน กัญชา และยาบ้า” รศ.นพ.ชัยยศ กล่าว
รศ.นพ.ชัยยศ กล่าวต่อว่า มีผลงานวิจัยพบความสัมพันธ์ระหว่างการสูบบุหรี่ไฟฟ้ากับประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง ระบุว่า ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า มีแนวโน้มที่จะมีประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง เช่น ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับการเรียนหรือการทำงาน ความจำหรือการตัดสินใจแย่ลงกว่าคนที่ไม่สูบ สมองของเด็กมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบมากขึ้น หากเริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้าก่อนอายุ 14 ปี โดยเด็กที่เคยสูบบุหรี่ไฟฟ้า พบว่ามีแนวโน้มที่ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงมากกว่าเด็กที่ไม่เคยสูบถึง 3-4 เท่า ส่วนผู้ใหญ่ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า พบมีแนวโน้มที่ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงมากกว่าคนที่ไม่เคยสูบ 2 เท่า นอกจากนี้ สมองของคนที่สูบบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้า จะมีประสิทธิภาพการทำงานลดลงในอัตราที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งแย่กว่ากลุ่มคนที่ไม่สูบอย่างมีนัยสำคัญ
ด้าน ผศ.ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าจึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเข้าไปป้องกันตั้งแต่แรกๆ เพราะเด็กเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับการพัฒนาของสมอง โดยสมองของเด็กมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสมองที่เกิดจากนิโคตินมากกว่าสมองของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานของสมองระดับสูง. – สำนักข่าวไทย