นักโทษเด็ดขาด 1 พันคนพร้อมลอกท่อ 1 ก.ค.นี้

กรมราชทัณฑ์ 8 มิ.ย.-กรมราชทัณฑ์ คัดนักโทษเด็ดขาด 1 พันคน จาก 10 เรือนจำกรงุเทพฯ/ปริมณฑล  พร้อมลอกท่อในกรุง 1 ก.ค.นี้  เข้มเกณฑ์คัดเลือกต้องไม่เป็นนักโทษคดีความมั่นคง คดีอุกฉกรรจ์หรือเครือข่ายค้ายาฯ  แบ่งปันผล 70 % จากกำไรในการลอกท่อ ให้ผู้ต้องขังที่ได้ไปทำงาน


นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า ภายหลังกรมราชทัณฑ์ได้หารือกับทางกรุงเทพมหานคร ที่จะจ้างงานผู้ต้องขังทำงานสาธารณะประโยชน์ลอกท่อ ในคูคลองต่างๆในกรุงเทพฯนั้น กรมราชทัณฑ์ได้จัดเตรียมคัดเลือกผู้ต้องขังไม่ต่ำกว่า 1,000 คน จาก 10 เรือนจำในกรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อออกทำงานลอกท่อ  พร้อมเริ่มงานได้ทันทีในวันที่ 1ก.ค.นี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือรายละเอียด กับกทม.ว่าจะจ้างงานในคลองสายใดบ้าง  โดยมีเกณฑ์คัดเลือกนักโทษเด็ดขาดที่จะไปลอกท่อต้องเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม ชั้นดีมาก ชั้นดี  เหลือโทษจำคุกตามระเบียบกำหนด  ที่สำคัญมีกลุ่มที่ไม่เข้าเกณฑ์ คือ นักโทษคดีความมั่นคง คดีก่อการร้าย นักโทษ เครือข่ายค้ายาเสพติดรายใหญ่ หรือ กระทำความผิดในคดีเป็นที่สนใจของสังคม หรือ นักโทษเด็ดขาดที่ต้องเฝ้าระวังการก่ออาชญากรรมสะเทือนขวัญ หรือเป็นภัยต่อสังคม เป็นต้น คดีทางเพศ คดีกู้ยืม ฉ้อโกง  นักโทษเด็ดขาดที่มีคู่คดีอยุ่เรือนจำเดียวกัน  และนักโทษที่ถูกโทษวินัยอยู่ กลุ่มคดีเหล่านี้จะไม่ได้รับการพิจารณาให้ออกไปลอกท่อ

อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวอีกว่า ตามหลักทัณฑวิทยา แล้ว การให้ผู้ต้องขังได้ออกไปทำทำปะโยชน์กับชุมชนและสังคม ทำให้ผู้ต้องขังได้ปรับตัวก่อนพ้นโทษ ลดความเครียด และเกิดความภาคภูมิใจ  รวมทั้ง การออกไปทำงานลอกท่อยังได้ประโยชน์ลดวันต้องโทษ ทำกี่วันได้ลดโทษเท่าจำนวนวันที่ออกไปทำงาน เช่น ออกไปลอกท่อ  1 เดือน ก็ได้ลดวันต้องโทษ 1 เดือน ทำให้มีผู้ต้องขังสนใจและสมัครใจอยากออกไปทำงานจำนวนมาก ซึ่ง กรมให้ความสำคัญ และคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน ไม่มีการบังคับ แต่เปิดให้สมัครใจไปทำงาน  โดยกรมฯให้การดูแลด้านอาหาร และเตรียมพร้อม อุปกรณ์ลอกท่อ เสื้อผ้า ให้กับผู้ต้องขัง และหากประสบอุบัติเหตุเจ็บป่วยขณะทำงาน ก็มีเงินสวัสดิการ 10,000-120,000 บาท ในการช่วยเหลือ


สำหรับการทำงานลอกท่อ ตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ กำหนดไว้ชัดเจนการออกไปทำงานที่มีผลกำไรจากการรับจ้างงานของกรุงเทพมหานคร ต้องมอบกำไรให้ผู้ต้องขังร้อยละ 70 เป็นเงินรางวัลปันผลาโดย คำนวณจากวันต่อวัน 1 คนต้องได้รับสัดส่วนเท่ากันหมด ส่วนนี้ทำให้ผู้ต้องขังมีเงินเก็บหอมรอมริบ ไว้สร้างเนื้อสร้างตัวหลังพ้นโทษ ที่สำคัญเป็นการให้โอกาสผู้ต้องขังที่พ้นโทษได้กลับคืนสู่สังคม มีงานทำและไม่กระทำผิดซ้ำอีก

อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวอีกว่า การว่าจ้างตามสัญญาที่จะทำกับกทม.จะกำหนดว่า ทำการลอกท่อในคลองสายใดกี่กิโลเมตรใช้เวลากี่วัน ซึ่งตามปกติ ผู้ต้องขัง 1 คนจะลอกท่อได้ในความยาว 25 กิโลเมตร  ขึ้นกับหน้างานว่าท่อนั้นมีเลนหรือขยะมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ กรมฯยังได้วางระบบคิวซี มีรถล้างทำความสะอาด ก่อนปิดงาน และปิดท่อให้เรียบร้อยในแต่ละวัน เมื่อเสร็จงาน โดยงานลอกท่อของนักโทษ ทำมานานแล้ว เคยมีMOU ร่วมกันกับกทม. เจ้าหน้าที่ผู้คุมมีประสบการณ์ มีเทคนิคการเปิดท่อ และปิดท่อ ไม่ให้ท่อเสียหาย ส่วนตัวนักโทษที่ออกไปทำงาน ก็ต้องผ่านการอบรมปฐมนิเทศก่อน ขณะนี้อยู่ระหว่างสำรวจรายละเอียดวางแผนร่วมกับกทม. ว่าจ้างว่าในช่วงปลายงบประมาณที่เหลือ  4 เดือน จะลอกจำนวนกี่คลอง

อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ยังกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา นักโทษเคยทำงานลอกท่อ บางคนได้ออกไปทำงาน 3 เดือน ได้เงินเป็นหลักหมื่น  ในช่วงทำงานจะมีผู้ต้องขังเข้าออก พ้นโทษ ออกไป ก็จะจัดผู้ต้องขังรายอื่นๆออกไปทำงาน  ในส่วนของประชาชนที่เห็นผู้ต้องขังลอกท่อ ก็จะนำน้ำ อาหารไปให้ ซึ่งเป็นการให้การยอมรับกับผู้ต้องขัง เมื่อพ้นโทษแล้ว กรมราชทัณฑ์ ก็มีศูนย์แคร์ หรือ ศูนย์ประสานงานการมีงานทำอยู่ทุกเรือนจำ เพื่อติดตามให้ผู้ต้องขังที่พ้นโทษ ได้มีงานทำไม่ไปทำผิดซ้ำอีก


สำหรับนักโทษเด็ดขาดที่จะได้รับการคัดเลือกให้ออกไปทำงานสาธารณะลอกท่อ  ต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ในระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการส่งนักโทษเด็ดขาดออกไปทำงานสาธารณะ หรือทำงานอื่นใดเพื่อประโยชน์ของทางราชการนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 โดยสรุป เช่น นักโทษเด็ดขาดที่เหลือโทษจำคุกต่อไปไม่เกิน 5 ปี หากเป็นชั้นเยี่ยม ต้องได้รับโทษจำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของกำหนดโทษ ชั้นดีมาก ต้องรับโทษจำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 และชั้นดี ต้องได้รับโทษมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของกำหนดโทษ เป็นต้น แต่หากเป็นนักโทษเด็ดขาดในคดียาเสพติด จะมีการกำหนดเงื่อนไขในรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น ต้องโทษจำคุกครั้งแรก ไม่เข้าข่ายผู้กระทำผิดรายสำคัญ และกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี รวมถึงกำหนดจำนวนยาเสพติดของกลางไว้ด้วย .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]