กรุงเทพฯ 14 พ.ค. – “สกลธี” ขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งแรก ขอโอกาสกลับเข้า กทม. ในฐานะผู้ว่าฯ ยํ้าประสบการณ์ทํางาน 4 ปี ให้คนกรุง มั่นใจรู้จุดแข็ง จุดอ่อน กทม. นโยบายไม่ขายฝัน ทําได้จริง
เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 14 พ.ค. นายสกลธี ภัททิยกุล ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหมายเลข 3 แบบไม่สังกัดพรรคการเมือง เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งแรกที่ลานคนเมือง พร้อมทีมงานที่ปรึกษา โดยทีมงานประกอบด้วย น.ส.ณัฐรดา เลขะธนชลท์ ทีมที่ปรึกษาด้านการศึกษา ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ EdWings Education Co.Ltd, นายกฤษณะ แก้วธํารงค์ ทีมที่ปรึกษาด้านการท่องเที่ยว อดีตรองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), นายฝันดี จรรยาธนากร ทีมที่ปรึกษาด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นักแสดงและนักกู้ภัย ทีมใจถึงใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน, ดร.จิรวัฒน์ ตั้งปณิธานนท์ ทีมที่ปรึกษาด้าน IT และดิจิตัล นักฟิสิกส์ควอนตัม ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร Quantum Technology Foundation (Thailand), ดร.นริศรา ลิ้มธนากุล ทีมที่ปรึกษาด้านจราจรและขนส่งสาธารณะ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบขนส่ง อดีตปรึกษาให้กับบริษัทกรุงเทพธนาคม และเจตน์ โศภิษฐ์พงศธร อดีตโฆษกและที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. ด้านสิ่งแวดล้อม ศิลปะ และวัฒนธรรม ท่ามกลางบรรยากาศของคน กทม. ที่มาร่วมรับฟังนโยบายอย่างคึกคัก
ในการปราศรัย นายสกลธี กล่าวว่า การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้มีความสําคัญ เนื่องจากเปนการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 9 ปี พร้อมทั้งได้เน้นยํ้าให้ความมั่นใจกับคน กทม.ถึงจุดแข็งในการทํางานของตนเองว่า ตนเป็นคนที่ได้เห็นปัญหาของกรุงเทพฯ มาโดยตลอด และเมื่อมีโอกาสได้เข้าไปเป็นรองผู้ว่าฯ ก็ได้ทํางานในหน้าที่อย่างเต็มที่ เช่น เรื่องของการจับมอเตอร์ไซค์วิ่งทางเท้า ซึ่งเป็นเรื่องที่สําคัญในความปลอดภัยของผู้ใช้ทางเท้า ก็สามารถกวดขัน จับ ปรับ ได้ถึงปีละ 15 ล้านบาท
ซึ่งนายสกลธี ยังกล่าวต่อว่า ยังเห็นถึงปัญหาของ กทม. อีกหลายอย่าง ซึ่งเป็นจุดอ่อนในการทํางานของกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นข้อบัญญัติต่าง ๆ ที่มีความล้าหลัง การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคไฟฟ้า – ประปา แต่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ เนื่องจากอํานาจของรองผู้ว่าฯ ที่มีอยู่อย่างจํากัด หลายอย่างนําเสนอไปก็ไม่ได้รับการตอบสนอง และทั้งหมดคือเหตุผลที่ทําให้อยากจะเข้าทํางานในฐานะผู้ว่าฯ เพื่อทําให้กรุงเทพฯ ดีขึ้นอย่างที่อยากให้เป็นและนโยบายต่าง ๆ ที่นําเสนอนั้นสามารถทําได้จริง ไม่เพ้อฝัน
โดยในช่วงท้ายของการปราศรัย นายสกลธี ได้ยํ้าขอโอกาสจากคนกรุงเทพฯ ว่าเป็นส่วนสําคัญที่ผลักดันให้ตนเองได้กลับเข้าไปทํางานให้กับ กทม. อีกครั้ง ในฐานะที่ไร้คําว่า “รอง” แต่เป็นผู้ว่าฯ กทม. ของคนกรุงเทพฯ ทุกคน
“คนกรุงเทพฯ ทุกคน จะเป็นกุญแจสําคัญที่ทําให้สกลธีได้กลับไปทํางานในศาลาว่าการฯ ที่อยู่ตรงหน้า ในฐานะผู้ว่าฯ กทม. คนที่ 17” นายสกลธี กล่าวอย่างมั่นใจ
ด้าน น.ส.ณัฐรดา เลขะธนชลท์ ทีมที่ปรึกษาด้านการศึกษา กล่าวว่า ที่ตัดสินใจมาร่วมงานในทีมเพราะเห็นว่า นายสกลธี มีประสบการณ์จากการเป็นรองผู้ว่าฯ ทําให้รู้ว่าสิ่งใดทําได้จริง นอกจากนี้ยังเห็นถึงความตั้งใจที่นายสกลธีอยากทํางานต่างๆ ให้สําเร็จตามที่หวัง ทําให้ทุ่มเทเรื่อยมาเป็นคนธรรมดาที่สู้เพื่อเปลี่ยนแปลงของกรุงเทพฯ และที่ตัดสินใจแน่นอนเลยก็คือได้เห็นทีมงานแต่ละคนที่มีแพชชั่น (Passion) ในการทํางานอยู่จริงๆ
“เขาคือหนึ่งคนธรรมดาจริงๆ ที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงและได้รับโอกาสเข้ามาช่วยเพื่อพัฒนาบ้านของเราทุกๆ คน จอยว่าสามส่วนนี้ตอบตัวเองได้และตอบตนอื่นได้ชัดเจน วันนี้เลยเลือกเดินเข้ามาเป็นหนึ่งในทีมของสกลธี” น.ส.ณัฐรดา กล่าว
ขณะที่นายเจตน์ โศภิษฐ์พงศธร กล่าวว่า ตนมั่นใจในตัวของนายสกลธีเพราะเป็นคนที่มีบุคลิกลักษณะที่พิเศษ เป็นคนถ่อมตัว อ่อนน้อมมาก และก็รับฟังหลายๆ อย่าง ตนเชื่อว่าเขาจะเป็นผู้นําที่รับฟัง ซึ่งที่ผ่านมาเราอาจจะไม่ได้ เจอผู้นําที่รับฟังสักพักใหญ่ แต่สกลธีเป็นผู้นําที่รับฟังกับเรื่องเล็กๆ จะเชื่อว่าจะเป็นผู้นําที่เอาประชาชนมาอยู่ที่ตรงกลางของหัวใจ
“เราก็จะตั้งใจทํางานและทําให้ดีที่สุด สําหรับสกลธีและสําหรับ กทม. ถ้าเลือกสกลธีรับรองว่า จะได้ทีมที่มาด้วยใจและเป็นคนในอายุที่ใกล้ๆ กัน ลองมีผู้ว่าที่อายุไม่ถึง 50 ดูนะครับว่าจะเป็นยังไงบ้างครับ ถ้าเลือกธีจะได้ทีมและเราจะทําให้กรุงเทพฯ ให้ดีกว่านี้ได้” .-สำนักข่าวไทย