พบเด็กติดโควิดสูงขึ้นทั้งจาก รร.-คนในครอบครัว

กรุงเทพฯ 10 ก.พ. – สธ.ระบุพบเด็กติดโควิดสูงขึ้นทั้งจากโรงเรียนและคนในครอบครัว พร้อมแจงแผนการฉีดวัคซีน เร่งสกัดอัตราป่วยและแพร่เชื้อไปยังผู้สูงอายุที่ยังมียอดเสียชีวิตสูง


นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผอ.กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์โควิดในประเทศไทยมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่อยากให้สนใจที่ตัวเลขผู้ป่วยรุนแรงและผู้เสียชีวิตมากกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน เนื่องจากสายพันธุ์โอไมครอนไม่ได้มีอาการรุนแรงมากนัก โดยวันนี้มีผู้ป่วยปอดอักเสบ 563 ราย เพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 16 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 114 ราย เพิ่มจากเมื่อวาน 3 ราย ถ้าเทียบกับเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2564 ซึ่งเป็นวันที่ไทยมีการติดเชื้อสูงสุด 23,000 กว่ารายต่อวัน ตอนนี้มีผู้ป่วยปอดอักเสบอยู่ประมาณ 5,600 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจราว 1,111 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตวันนี้อยู่ที่ 20 ราย เป็นกลุ่มผู้สูงวัย และมีโรคเรื้อรัง และมีเพียงรายเดียวที่ได้รับวัคซีนบูทเตอร์โดส ถือว่าสถานการณ์พบผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตค่อนข้างยังคงตัวอยู่ ยังไม่ได้พุ่งขึ้นสูง ส่วนผู้ติดเชื้อที่กำลังรักษามี 105,129 ราย แบ่งเป็น HI, CI และ รพ.สนาม 53,694 ราย ส่วนที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ซึ่งมีอาการน้อย มีอยู่ 50,872 ราย ดังนั้น ศักยภาพด้านการแพทย์ยังรองรับได้เพียงพอ

อันตราป่วยที่พบเพิ่มขึ้นในช่วงนี้พบมากสุดในวัยทำงาน อายุ 20-29 ปี รองลงมาเป็น 30-39 ปี และในกลุ่มเด็กอายุ 0-9 ปี และ 10-19 ปี ที่พบการติดเชื้อสูงขึ้นค่อนข้างมากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ผู้ที่มีอัตรการเสียชีวิตสูงสุดในกลุ่มอายุ 70 ปีขึ้นไป สูงกว่ากลุ่มเด็กเล็กถึง 200 เท่า ดังนั้น สองกลุ่มนี้ควรเว้นระยะห่างระหว่างกัน และเมื่อวิเคราะห์ในกลุ่มเด็กช่วง 30 มกราคม-5 กุมภาพันธ์ พบว่าในกลุ่มเด็กปฐมปลายไปจนถึงมัธยมต้น ส่วนใหญ่ติดเชื้อมาจากที่โรงเรียน แต่ในกลุ่มอายุ 0-4 ปี และ 5-9 ปี ส่วนใหญ่ติดเชื้อมาจากคนในครอบครัวเป็นหลัก ขณะที่วัยรุ่นมักติดเชื้อมาจากนอกบ้านและในชุมชน จึงขอให้ทุกช่วงวัยเร่งไปฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อลดอัตราการติดเชื้อและเสียชีวิต


นพ.วิชาญ ปานวัน ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์การติดเชื้อในเด็ก เห็นได้ชัดว่าในระลอกหลังๆ ซึ่งเป็นกลุ่มสายพันธุ์เดลตาและโอไมครอน พบมีเด็กติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 5-11 ปี พบกว่าร้อยละ 6 แม้จะมีอาการน้อย แต่สิ่งที่เป็นกังวลคือ เด็กบางคนอาจเกิดภาวะ MIS-C หรือภาวะการอักเสบของอวัยวะหลายระบบ ที่เกิดขึ้นหลังจากการติดเชื้อโควิด ดังนั้น ควรเร่งฉีดวัคซีนให้กลุ่มเด็กเล็ก เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด และสามารถเปิดโรงเรียนได้อย่างปลอดภัย

สำหรับความก้าวหน้าในการบริการจัดการวัคซีน สำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี ได้ดำเนินการฉีดให้เด็กที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค เป็นกลุ่มแรก ตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา ส่วนการให้บริการฉีดวัคซีนผ่านระบบสถานศึกษา เริ่มมาตั้งแต่ 7 ก.พ. โดยฉีดให้เด็กนักเรียน ป.6 ที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ก่อนเป็นอันดับแรก และชั้นปีอื่นถัดลงไปตามลำดับ โดยบริหารจัดการวัคซีนผ่านสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ในพื้นที่ 76 จัหวัด ขณะที่ใน กทม. บริหารจัดการผ่านสำนักอนามัย กทม., กรมการแพทย์ และกระทรวงอุดมศึกษาฯ โดยวัคซีนที่ขึ้นทะเบียนกับ อย. สำหรับฉีดกลุ่มเป้าหมายอายุต่ำกว่า 18 ปี มีทั้งวัคซีนไฟเซอร์ฝาสีส้ม สำหรับเด็ก 5-11 ปี และไฟเซอร์ฝาสีม่วง สำหรับเด็ก 12-17 ปี

คำแนะนำการฉีดวัคซีนในกลุ่มอายุต่ำกว่า 18 ปี หากเป็นกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี ให้ฉีดไฟเซอร์ฝาสีส้ม 2 เข็ม ห่างกัน 8 สัปดาห์, อายุ 6-17 ปี ให้ฉีดซิโนแวค 2 เข็ม ห่างกัน 4 สัปดาห์ และกลุ่มอายุ 12-17 ปี สามารถฉีดไฟเซอร์ฝาสีม่วงได้ 2 เข็ม ห่างกัน 3-4 สัปดาห์ และสูตรไขว้ ซิโนแวค-ไฟเซอร์ ห่างกัน 4 สัปดาห์


ขณะที่การศึกษาผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนซิโนแวค ในกลุ่ม 3-17 ปี ในประเทศจีน จำนวน 235 ล้านราย มีรายงานเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จำนวน 1.9 หมื่นราย ส่วนวัคซีนไฟเซอร์ ที่ฉีดในกลุ่ม 5-17 ปี ที่มีการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา พบมีผลข้างเคียงทั่วไป อ่อนเพลียร้อยละ 39.4 ปวดหัวร้อยละ 28 หนาวสั่นร้อยละ 9.8 และมีโอกาสพบภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หลังฉีดไฟเซอร์เข็ม 2 ต่อการฉีดวัคซีนจำนวน 1 ล้านโดส ส่วนการศึกษาในประเทศไทยของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ที่ศึกษาภูมิคุ้มกันในวัยรุ่นอายุ 12-17 ปี หลังได้รับการฉีดวัคซีน พบว่าการฉีดวัคซีนสูตรไขว้ซิโนแวค-ไฟเซอร์ ในกลุ่มวัยรุ่น มีภูมิคุ้มกันใกล้เคียงกับการฉีดไฟเซอร์ 2 เข็ม

ทั้งนี้ วัคซีนป้องกันโควิดในเด็กวัยเรียน ที่ได้รับการอนุญาตให้ฉีดแล้ว มีทั้งวัคซีนเชื้อตายซิโนแวคและซิโนฟาร์ม ขณะนี้ฉีดไปแล้วมากกว่า 25 ล้านโดส ในกลุ่ม 6-17 ปี ที่เป็นเด็กนักเรียนปกติ โดยฉีดให้ 2 เข็ม ห่างกัน 4 สัปดาห์ ขณะนี้มีพร้อมให้บริการในพื้นที่แล้ว ส่วนวัคซีน mRNA อย่างไฟเซอร์ ตอนนี้ฉีดไปแล้วมากกว่า 12 ล้านโดส ในเด็กอายุ 5-11 ปี โดยเริ่มฉีดให้กับเด็ก 7 กลุ่มโรค ในโรงพยาบาลก่อน จากนั้นฉีดให้เด็กนักเรียน ป.6, 5, 4, 3, 2, 1 โดยฉีดให้ 2 เข็ม ห่างกัน 8 สัปดาห์ บริษัทผู้ผลิตจะจัดส่งให้สัปดาห์ละ 3-5 แสนโดส.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สามีเข้าเกียร์ค้างไว้ สตาร์ทรถพุ่งชนภรรยาดับ

สลด! สามีขับรถใส่เกียร์ค้างไว้ สตาร์ทรถพุ่งชนภรรยาเสียชีวิตในบ้านพักย่านวิภาวดี ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การเบื้องต้น นำตัวสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง

คุมฝากขัง “เอ็ม เอกชาติ” เจ้าตัวปิดปากเงียบ

ตร.ไซเบอร์คุมตัว “เอ็ม เอกชาติ” ฝากขัง เจ้าตัวปิดปากเงียบ ไม่ตอบคำถามสื่อ ด้านตำรวจพบเส้นทางการเงินจากเว็บพนัน กว่า 30 ล้านบาท

ข่าวแนะนำ

นายกฯ สั่งลดขั้นตอนแจ้งเตือนภัย ลั่นยังไม่ได้ SMS แผ่นดินไหว

นายกฯ ลั่น จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้รับ SMS เตือนแผ่นดินไหว สั่งลดขั้นตอนแจ้งเตือน “กรมอุตุฯ ไป ปภ. เข้าเครือข่ายมือถือ” ไม่ต้องผ่าน กสทช. ระหว่าง รอ Cell Broadcast เต็มระบบ ก.ค.นี้

ปภ.ยันไม่มีความรู้สึกสั่นไหว ไม่ใช่ผลจากอาฟเตอร์ช็อก

ปภ.แถลงชี้แจงกรณีสถานการณ์อพยพออกจากอาคาร ยืนยันไม่มีความรู้สึกสั่นไหว ไม่ได้เป็นผลกระทบจากอาฟเตอร์ช็อก ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก

นายกฯ ติดตามภารกิจช่วยเหลือคนติดซาก สตง.ถล่ม

นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จุดเกิดเหตุอาคาร สตง.ถล่ม ติดตามภารกิจช่วยเหลือผู้ที่ติดค้างอยู่ใต้ซากอาคาร พร้อมให้กำลังใจทุกหน่วยงานทำงานอย่างเต็มที่

ตึกถล่มแผ่นดินไหว

72 ชั่วโมง ยังมีหวังพบผู้รอดชีวิตตึก สตง. ถล่ม

ใกล้ครบ 72 ชั่วโมงเหตุตึก สตง. ถล่ม แต่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายยังไม่ละความพยายาม และยังมีความหวังในการค้นหาผู้ที่ติดอยู่ใต้ซาก