ศธ. 2 ก.พ. – ศธ. จัดเสวนาร่วม สธ.-มท. เน้นย้ำความสำคัญเรียน on-site แบบปลอดภัย ห่วงคลัสเตอร์โรงเรียนประจำ เผยสำรวจกลุ่มอายุ 5-ไม่เกิน12 ปี ล่าสุด สมัครใจฉีด 2.5 ล้านคน วัคซีนไฟเซอร์เด็กจะทยอยมาสัปดาห์ละ 3-5 แสนโดส
กระทรวงศึกษาธิการ พร้อมตัวแทนของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และกระทรวงมหาดไทย (มท.) จัดเสวนา “วัคซีนเด็ก เติมภูมิคุ้มกัน มั่นใจเปิดเรียน On Site พร้อมใช้แผนเผชิญเหตุทุกสถานการณ์ ” เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเรียน on-site 100% แบบปลอดภัย
นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.กระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ในการเปิดเรียนอย่างปลอดภัยท่ามกกลางโควิด19 โดยเฉพาะการเร่งฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกัน ครูเข็มแรกฉีดไปเกือบ100 % และทยอยฉีดเข็มสามต่อเนื่อง ส่วนกลุ่มเด็ก 12-18 ปีเข็มสอง ฉีดได้แล้ว กว่า 80% ส่วนใหญ่ก็กลับมาเรียน on-siteได้ และ การออกมาตรการเปิดเรียนที่ผ่านมาทำให้เชื่อมั่นว่ามีแผนรองรับเปิด On-site ได้ดี
ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่าปัจจุบันมีทั้งที่เปิดเรียน on-site ทั้งหมด เปิดแบบสลับมาเรียน หรือแบบผสม online ซึ่งเป็นไปตามมติของคกก.โรคติดต่อจังหวัดที่จะอนุญาต โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่ามี รร.เริ่มกลับมาเปิดon-site มากขึ้น คิดเป็น80%ของจำนวน40 จังหวัด ยังเหลืออีก 37 จังหวัด ที่คาดว่าจะทยอยเปิด on-site ได้มากขึ้นเฉลี่ยเปิดได้ร้อยละ50 แต่ก็พบว่าบางจังหวัดจะยังมีความกังวลเช่นที่ภูเก็ต เปิดเรียนon-site ได้20 % ระยอง 29% โดยภาพรวมทั้งปท.มี 3.5 หมื่นโรงเรียน มีนร.ในระบบกว่า 9.7 ล้านคน การจัดห้องเรียนclassroom แบบให้เว้นระยะห่าง เป็นหนึ่งในข้อจำกัด ที่จะต้องทำให้ได้หากเปิดเรียนon-site และต้องปฏิบัติตาม 6 มาตรหลัก 6 มาตรการเสริม และ7 มาตรการเข้ม โดย ล่าสุด จากการสำรวจกลุ่มเด็ก อายุ 5- ไม่เกิน12 ปี จำนวน 4.1 ล้านคน มีผู้ปกครองยินยอมให้นร.ฉีดวัคซีนแล้วจำนวน 2,570,000 กว่าคน คิดเป็นร้อยละ 61
ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงการจัดสรรวัคซีน ไฟเซอร์เด็ก ฝาสีส้ม จะทยอยเข้ามาสัปดาห์ละ 3- 5 แสนโดส ยืนยันว่าวัคซีนที่ทั่วโลกอนุญาตให้ใช้ในเด็กจะมีความปลอดภัย ทั้งชนิด MRNA ไฟเซอร์ เช่นที่ อเมริกา หรือ สิงคโปร์ฉีดให้เด็กไปเยอะแล้ว ขณะที่ปริมาณวัคซีนการฉีดให้เด็กเล็กใช้ 1 ใน 3 ของผู้ใหญ่ ย้ำว่าสธ.คำนึงถึงทั้งประสิทธิภาพ และความปลอดภัยในการฉีดให้เด็กส่วน อีกชนิดคือ เชื้อตาย (ซิโนแวค) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ปกครอง อยู่ระหว่างอย.รับรอง โดยแนวทางการฉีดขอให้เริ่มจากเด็กโต ลงมาก่อน โดยหากแต่ละสัปดาห์วัคซีนมาก็จะรับจัดสรรให้ศธ.จัดฉีดได้ทันที ไม่ต้องรอให้กลุ่มเด็กป่วยฉีดครบ
ด้านนพ. สราวุฒิ บุญสุข รองธิบดีกรมอนามัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูล1 ม.ค.-1ก.พ.65 พบเด็ก 0-19 ติดเชื้อประมาณ 3.9 หมื่นราย แต่ส่วนใหญ่พบว่าไม่มีความรุนแรง มีอาการน้อย ส่วนคลัสเตอร์สถานศึกษาที่พบ เกิดจากเด็กรวมกลุ่มกัน และถอดหน้ากาก ทานข้าวร่วมกัน โดยเฉพาะรร.ประจำ สธ.จึงเน้นย้ำเรื่องการสวมหน้ากากตลอดเวลา กาทำsandbox safety zone in school กรณีพบติดเชื้อ ส่วนมาตรการหลักที่ทำมาอยู่แล้วก็ต้องทำต่อไป การจัดห้องเรียน เว้นระยะห่างห้องหนึ่งไม่ควรเกิน20-30 คนหากมีมากกว่านั้น ใช้วิธีสลับกันเข้าเรียน เรียนคาบหนึ่งไม่เกิน 2 ชั่วโมง เป็นต้น ส่วนแผนเผชิญเหตุก็มีแนวทางอยู้แล้ว เช่น ถ้าติด 1 คน ก็ปิดแค่ห้องนั้นๆ ถ้าติดมากกว่า2 คนหรือ มากกว่า1 ห้องเรียน แยกผู้เสี่ยงสูงออก ผู้เสี่ยงต่ำมาเรียนได้แต่เฝ้าระวังตนเอง เป็นต้น
นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เด็กที่ฉีดวัคซีนจะช่วยลดความรุนแรงหากติดเชื้อ การฉีดวัคซีนจะเป็นตัวแก้ปัญหาช่วยเรื่องการติดเชื้อในเด็กให้ลดลง ส่วนความกังวลผลข้างเคียงของวัคซีนรุนแรง พร้อมเผยว่า การติดเชื้อโควิดโดยธรรมชาติมีโอกาสก่อให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบได้มากกว่าโอกาสที่จะเกิดจากผลข้างเคียงการฉีดวัคซีนmRNA และยิ่งการฉีดในกลุ่มเด็กเล็กก็จะลดปริมาณลงมาอีก นพ.กำธร มาลาธรรม สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ย้ำความสำคัญของการเปิดเรียนon-site จากระบบที่มีคาดว่าจะมีความพร้อมพอที่จะเปิดได้ทั้งประเทศ อย่างเรื่องเว้นระยะห่าง ที่อาจทำได้ยากหากห้องหนึ่งมีมากกว่า 50 คน แต่ปกติก็ห้องจะมีช่องว่างของแถวโต๊ะเรียน อากาศถ่ายเทได้ในห้องมีหน้าต่าง ซึ่งพบว่าส่วนมากเด็กไม่ได้ติดเชื้อในระหว่างเรียน แต่จะเป็นช่วงพักทานอาหาร ซึ่งอาจต้องเคร่งครัดจัดเหลื่อมเวลาพัก นั่งทานแบบเว้นระยะห่าง ส่วนการคัดกรอง เพื่อแยกกลุ่มเสี่ยงออกให้ไว ยึดหลักหากมีอาการ ต้องตรวจทันที.-สำนักข่าวไทย
