ยันร้านอาหารที่จะขายเหล้า-เบียร์ในกทม.ต้องผ่านมาตรฐาน SHA

กรุงเทพฯ 31 ต.ค.- ประเด็นการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร ซึ่งเรื่องนี้โฆษก กทม. ออกมาย้ำว่าอนุญาตให้ขายได้เฉพาะร้านอาหารที่ผ่านมาตรฐาน SHA เท่านั้น ขณะที่ผู้ประกอบการบนถนนข้าวสารก็ออกมาโวย เพราะไม่มีร้านไหนเตรียมตัวทัน


ร.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงกรณีที่คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร มีมติในเห็นชอบประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 45) ในการเปิดให้บริการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร และเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวและประชาชนนั้น ขอให้ผู้ประกอบการร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มดำเนินการปรับปรุงสถานประกอบการให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่ เพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และเข้ารับการตรวจประเมินความพร้อมมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย SHA รวมทั้งเคร่งครัดช่วงเวลาการให้บริการให้อยู่ภายในเวลา 21.00 น. ตามที่กำหนด พร้อมขอให้ร่วมมือผู้ประกอบการขอรับมาตรฐาน SHA เพราะในอนาคตต้องยึดมาตรฐานดังกล่าวเป็นหลัก โดยเฉพาะสถานประกอบการที่มีความเสี่ยง อาทิ ผับ บาร์ คาราโอเกะสามารถทยอยขอล่วงหน้าไว้ก่อนได้ เพราะมีแนวโน้มว่าเดือนหน้าจะผ่อนคลายให้สถานบริการที่มีความเสี่ยงกลับมาเปิดบริการได้ 

สำหรับผู้ประกอบที่มีข้อท้วงติงเรื่องระยะเวลาในการขอรับรองมาตรฐาน SHA ที่ใช้เวลานานกว่า 2-3 สัปดาห์ ซึ่งอาจไม่ทันกับการเปิดให้บริการนั้น โฆษก กทม. เผยหลังเปิดประเทศ และผ่อนคลายมาตรการต่างๆ มากขึ้น ทาง ททท. ก็จะมีการเพิ่มจำนวนทีมงาน คาดว่าจะทำให้การดำเนินการรวดเร็วยิ่งขึ้น


(SHA หรือ Safety & Health Administration) คือ แนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานภาคสมัครใจสำหรับผู้ประกอบการ หรือ ข้อกำหนดเบื้องต้นที่สถานประกอบการพึงมี เพื่อป้องกัน COVID-19 ซึ่งมาจากมาตรการด้านสาธารณสุขบวกกับมาตรฐานของสินค้าทางการท่องเที่ยว  ดังนั้นสัญลักษณ์ SHA จะเป็นการรับรองคุณภาพของสถานประกอบการนั้นๆ โดยผู้ประกอบการต้องยื่นเรื่องขอผ่านสมาคม เช่น สมาคมโรงแรม เมื่อได้รับสัญลักษณ์แล้ว ผู้ประกอบการจะถูกประเมินโดยผู้ใช้บริการผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน รวมถึงมีการสุ่มตรวจจากหน่วยงานภายใต้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นระยะ

โดยขณะนี้สถานประกอบการที่ได้รับมาตรฐาน SHA และ SHA+ ในกรุงเทพมหานคร  มีทั้งหมด 3,386 รายการ

ส่วนขั้นตอนการขอรับมาตรฐาน SHA และ SHA+ 


1.ผู้ประกอบการต้องเข้าไปลงทะเบียนขอรับการประเมินที่ เว็บไซต์ thailandsha.com จากนั้นก็เลือกหมวดหมู่กิจการ ซึ่งมีทั้งหมด 10 กิจการ เช่น เมื่อเลือกกิจการ ภัตตาคาร/ร้านอาหาร  

2.ระบบก็จะให้เรากรอกข้อมูลรายละเอียดของสถานประกอบการ กรอกรายละเอียดตามขั้นตอน 

– ตอบคำถามตามแบบฟอร์ม Checklist

– แนบภาพถ่ายประกอบ

– เอกสารอื่นๆ 

3. สมาคมฯ ก็จะดำเนินการตรวจสอบ Checklist และรับรองผล Checklist   

4. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) รวบรวมขั้นตอนสุดท้าย 

5. จากนั้นก็จะเป็นขั้นตอนการมอบตราสัญลักษณ์ 

6. คณะกรรมการฯ สุ่มตรวจสถานประกอบการ 

7. ประชาสัมพันธ์บนเว็บไซต์

ส่วนข้อกำหนดมาตรฐาน SHA สำหรับผู้ประกอบการ (ภัตตาคาร / ร้านอาหาร) ประกอบด้วยอะไรบ้าง 

1. จัดให้มีทางเข้า-ออกทางเดียว 

2. จัดให้มีการตรวจวัดอุณหภูมิของพนักงานและผู้รับบริการทุกครั้ง 

3. บันทึกประวัติพนักงาน และประวัติการเดินทาง

4. อนุญาตให้เฉพาะผู้ที่สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยเข้าใช้บริการเท่านั้น

5. จัดให้มีที่ล้างมือด้วยน้ำและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ก่อนเข้าร้านอาหาร/จุดชำระเงิน

6. จำกัดจำนวนคนเข้าร้าน 

7. ทำความสะอาดจุดนั่งรับประทานอาหาร ก่อนและหลังการให้บริการ

8. ทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสของสถานที่และพื้นที่จุดสัมผัสร่วม ทุก 2ชั่วโมง

9. อาหารปรุงสำเร็จ ให้มีการปกปิดอาหาร ใช้อุปกรณ์สำหรับหยิบจับหรือตักอาหาร 

10. จัดให้มีถังขยะที่มีฝาปิด คัดแยกขยะ

11. จัดให้มีการระบายอากาศที่เพียงพอ 

12. จัดให้มีการชำระเงินค่าบริการผ่านระบบออนไลน์ 

13. จัดให้มีการสื่อสาร/ประชาสัมพันธ์ สร้างความรู้ความเข้าใจ อย่างเคร่งครัด

14. ลดการใช้เสียงภายในภัตตาคาร/ร้านอาหาร 

ทางฟากผู้ประกอบการในพื้นที่กรุงเทพ ที่ต่างก็เตรียมสินค้าเหล้า-เบียร์ไว้ให้บริการลูกค้าในวันพรุ่งนี้ ก็ได้ออกมาแสดงความไม่พอใจ ที่รัฐอนุญาตให้จำหน่ายเหล้า-เบียร์เฉพาะร้านที่ได้มาตรฐาน SHA เท่านั้น เผยไม่มีร้านไหนเตรียมตัวทัน 

นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจบนถนนข้าวสาร เผยว่าในถนนข้าวสารมีร้านอาหาร และร้านนั่งดื่มรวมกว่า 100 ร้าน ได้รับผลกระทบจากประกาศฉบับนี้อย่างเต็มๆ เพราะแทบไม่มีร้านไหนลงทะเบียนรับมาตรฐาน SHA เพราะแรกเริ่มที่ทาง ททท.ออกมาให้ข้อมูลเรื่องนี้มุ่งเน้นไปที่โรงแรม  ซึ่งส่วนใหญ่โรงแรมในย่านข้าวสารจะเป็นเกสต์เฮาส์ ส่วนร้านอาหาร ร้านนั่งดื่มก็ไม่ได้รับการแจ้งให้ลงทะเบียน จึงไม่มีร้านไหนได้ดำเนินการ ตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา หลังประกาศยกเลิกเคอร์ฟิว ผู้ค้าต่างก็เตรียมกลับมาเปิดร้านในวันจันทร์ 1พ.ย.นี้ แต่เมื่อวานกลับมีคำสั่งให้ขายเฉพาะร้านที่มีมาตรฐาน SHA เท่านั้น ส่วนตัวมองว่าสิ่งที่ภาครัฐทำไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการที่โดยเฉพาะร้านกินดื่ม ทั้งๆที่ร้านเหล่านี้ไม่ได้มีรายได้มาเกือบ 2 ปี เมื่อจะเปิดประเทศ เหตุใดจึงไม่แจ้งให้ผู้ประกอบการทราบล่วงหน้า จะได้เตรียมตัวล่วงหน้า 

โดยในวันพรุ่งนี้ ผู้ประกอบการบนถนนข้าวสารจะประชุมเพื่อหาทางออกร่วมกันเพื่อนำข้อสรุปไปหารือกับ กทม. พร้อมเตรียมเสนอมาตรการคัดกรองกันเอง บริเวณทางเข้าและออก ที่หัวและท้ายถนน หากใครไม่มีหลักฐานยืนยันได้วัคซีน 2 เข็ม และผลตรวจ ATK ที่เป็นลบ ก็จะไม่ให้เข้า เหมือนที่ทำสำเร็จคัดกรองคนเข้าออกในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพราะถ้าหากรอลงทะเบียน กว่าจะได้รับการประเมินและยืนยันต้องใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ หรืออาจจะมากกว่านั้น ถือเป็นการเสียโอกาส และสูญเสียรายได้ในช่วงที่จะสามารถกลับมามีความหวัง และลืมตาอ้าปาก เป็นจำนวนมหาศาล  คาดว่าน่าจะได้ข้อสรุป และนำไปเสนอกับ กทม.ภายในสัปดาห์นี้

นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า พรุ่งนี้เป็นวันแรกที่เปิดประเทศรับผู้เดินทางและนักท่องเที่ยวต่างชาติ และแม้ว่าจะมีการผ่อนคลายกิจการกิจกรรมต่างๆ มากขึ้นในแต่ละพื้นที่ แต่สิ่งสำคัญ คือยังต้องปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะมาตรการส่วนบุคคล ป้องกันตนเอง เว้นระยะห่าง ล้างมือ สวมหน้ากาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดการติดเชื้อและแพร่เชื้อ ส่วนสถานประกอบการต่างๆ ยังต้องเข้มมาตรการ COVID Free Setting เพื่อให้เป็นสถานที่ปลอดโควิด เปิดประเทศอย่างปลอดภัย.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โปรดเกล้าฯ พล.ท.บุญสิน เป็นทหารราชองครักษ์พิเศษ

กทม. 27 ก.ย.-โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายทหาร-นายตำรวจ เป็นราชองครักษ์พิเศษ 38 นาย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 อยู่ในลำดับที่ 20 เมื่อวันที่ 27 ก.ย.2568 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศให้นายทหารสัญญาบัตรและนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร แต่งตั้งเป็นนายทหารราชองครักษ์พิเศษและนายตำรวจราชองครักษ์พิเศษ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายทหารสัญญาบัตรและนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร แต่งตั้งเป็นนายทหารราชองครักษ์พิเศษและนายตำรวจราชองครักษ์พิเศษ จำนวน 38 นาย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการถวายความปลอดภัย พ.ศ. 2560 มาตรา 6 มาตรา 7 และมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติราชองครักษ์ พุทธศักราช 2480 มาตรา 4 มาตรา 5 และมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัตินายตำรวจราชสำนัก พ.ศ. 2495 และข้อ 6 ของระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการแต่งตั้งราชองครักษ์ พ.ศ.2559 .-313.-สำนักข่าวไทย

ไฟไหม้ จยย. ลามวอดทั้งลานจอด

กทม. 27 ก.ย.-วงจรปิดจับภาพวินาทีไฟไหม้รถจักรยานยนต์ที่ลานจอด ก่อนลุกลามระเบิดวอดรถจักรยานยนต์ 29 คัน รถยนต์ 3 คัน และจักรยาน 3 คัน วงจรปิดจับภาพวินาทีไฟเริ่มลุกไหม้รถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ด้านในสุด ก่อนจะลุกลามมาคันข้างๆ และระเบิด จนควันปกคลุมไปทั่ว แล้วไฟได้ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ทำให้รถจักรยายนต์ที่จอดอยู่เสียหายถึง 29 คัน รถยนต์ 2 คัน รถกระบะ 1 คัน และจักรยานอีก 3 คัน เหตุการณ์เกิดขึ้นเวลาประมาณ 01.40 น. เช้าวันนี้ (27 กย.68) ที่ลานจอดรถ ของพี.อาร์.เค แมนชั่น ใกล้ปากซอยสุขสวัสดิ์ 17 เเขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ ตำรวจพร้อมเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเร่งเข้าช่วยเหลือฉีดน้ำสกัดท่ามกลางเปวดพลิงที่และกำลังลุกลามต่อเนื่องไปยังลานจอดรถยนต์ด้านในอาคาร โดยใช้เวลานานกว่า 20 นาที จึงควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ ซึ่งรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่เสียหายทั้งหมด เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุ ต้องรอให้เจ้าหน้าส่วนเกี่ยวข้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่โชคดีที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต.-สำนักข่าวไทย

กัมพูชาเปิดฉากยิงป่วน 2 พื้นที่ ปราสาทตาควาย-ช่องบก

26 ก.ย. – กัมพูชาเปิดฉากยิงไทยแล้ว 2 จุด บริเวณพื้นที่ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ และเนิน 498 ช่องบก จ.อุบลราชธานี เวลาประมาณ 16.40 น. รับแจ้งจากหน่วยทหารในพื้นที่ ระบุว่า บริเวณเนิน 350 พื้นที่ประสาทตาควาย จังหวัดสุรินทร์ ได้ยินเสียงระเบิด 1 ครั้ง และพื้นที่ “จุ๊บอั่งกุย” ได้ยินเสียงปืนเล็ก 5-6 นัด คาดว่าเป็นการก่อเหตุยั่วยุจากทางฝั่งกัมพูชา ล่าสุดเหตุการณ์กลับสู่ภาวะปกติ อยู่ระหว่างตรวจสอบเพิ่มเติมจากหน่วยทหารในพื้นที่ ขณะที่บริเวณเนิน 498 ช่องบก จ.อุบลราชธานี พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ยอมรับว่า ไทยถูกกัมพูชายิงระเบิดใส่จริง ขณะนี้กำลังเร่งตรวจสอบ เก็บหลักฐานไปประท้วง พร้อมขอให้ประชาชนช่วยรักษาความลับราชการ ไม่เผยแพร่ภาพพิกัดยุทโธปกรณ์ของทหาร.-สำนักข่าวไทย

กรมการปกครอง ไม่อนุมัติ “ผู้กองแคท” โยกช่วยงานประธานรัฐสภา

กทม 26 ก.ย.- กรมการปกครอง ไม่อนุมัติ “ผู้กองแคท” โยกไปช่วยงานประธานรัฐสภา ชี้นโยบายชัด ปลัดอำเภอใหม่ต้องปฏิบัติงานในพื้นที่จริง เพื่อสั่งสมประสบการณ์ นายรณรงค์ ทิพย์ศิริ รองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทน อธิบดีกรมการปกครอง ทำหนังที่ มท 302.13481 ถึงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เรื่องขอยืมตัวข้าราชการช่วยราชการ โดย อ้างถึง หนังสือสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ด่วนที่สุด ที่ สผ001.02/479 ลงวันที่ 25 กันยายน 2568 โดยมีรายละเอียดว่า ตามหนังสือที่อ้างถึง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แจ้งว่า มีความประสงค์ขอยืมตัวข้าราชการสังกัดกรมการปกครองราย ร้อยตำรวจเอกหญิง อาทิติยา เบ็ญจะปัก ตำแหน่ง นักประชาสัมพันธ์ปฏิบัติการ ส่วนประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมการปกครอง มาช่วยราชการที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในส่วนงานของประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย อีกหน้าที่หนึ่ง โดยไม่ขาดจากตำแหน่งหน้าที่เดิม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่1ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป นั้น กรมการปกครอง ขอเรียนว่า […]

ข่าวแนะนำ

น้ำปิงล้นตลิ่ง

ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ เรียกประชุมด่วนทุกหน่วยงาน เตรียมรับมือน้ำ หลังน้ำปิงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

เชียงใหม่ 27 ก.ย. – ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ เรียกประชุมทุกหน่วยงาน ติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัย หลังระดับน้ำปิงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คาดสูงถึง 4.15 เมตร ในคืนนี้ ประเมินเบื้องต้นยังสามารถบริหารจัดการได้ และสั่งทุกหน่วยเตรียมพร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง ค่ำวันนี้ (27 ก.ย. 68) ที่ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ สำนักงานชลประทานที่ 1 (SWOC1) อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ นายทศพล เผื่อนอุดม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และนายศิวะ ธมิกานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เรียกประชุมด่วนทุกหน่วยงาน ติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมรับมือระดับน้ำในแม่น้ำปิงหลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังเกิดฝนตกหนักในพื้นที่ตอนบนของจังหวัด ส่งผลให้ให้มวลน้ำจำนวนมากจะไหลลงมาผ่านตัวเมืองที่เป็นย่านเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงเวลา 22.00-24.00 น. คืนนี้ ชลประทานเชียงใหม่คาดการณ์ว่าระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นจากเดิม 3.9 เมตร เป็น 4.0-4.15 เมตร และจะส่งผลให้น้ำปริ่มและเอ่อล้นตลิ่งเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการสถานการณ์ได้ เนื่องจากมีการเสริมคันกันน้ำทั้งสองฝั่งแม่น้ำปิง ซึ่งสามารถรองรับน้ำได้สูงถึง 4.2 เมตร สำหรับสถานการณ์ฝนในพื้นที่อำเภอต่างๆ โดยเฉพาะที่อำเภอแม่แตง ทางอำเภอได้รายงานว่าตลอดทั้งวันยังมีฝนตกในพื้นที่ […]

การรถไฟฯ แจ้งน้ำท่วมทำ “ทางรถไฟขาด” สั่งปรับแผนเดินรถ

27 ก.ย. – การรถไฟแห่งประเทศไทย ประกาศแจ้งเหตุน้ำท่วมหนัก “ทางรถไฟขาด” ที่บ้านเหลื่อม จ.นครราชสีมา สั่งปรับแผนเดินรถ ขณะนี้ได้สั่งการและดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ พร้อมปรับแผนการเดินรถเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร ดังนี้ 1.ขบวนรถด่วนที่ 75/76 กรุงเทพอภิวัฒน์ – หนองคาย – กรุงเทพอภิวัฒน์2.ขบวนรถสินค้าที่ 553 มาบตาพุด – บัวใหญ่3.ขบวนรถสินค้าที่ 532 สำราญ – บางละมุงให้เปลี่ยนการเดินขบวนรถในเส้นทางชุมทางแก่งคอย – นครราชสีมา – ชุมทางบัวใหญ่ – หนองคาย 4.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 439 ชุมทางแก่งคอย – ชุมทางบัวใหญ่ เดินถึงสถานีบ้านเหลื่อม5.ขบวนรถท้องถิ่นที่ 434 ชุมทางบัวใหญ่ – ชุมทางแก่งคอยรอสถานการณ์น้ำที่สถานีชุมทางบัวใหญ่ จากการตรวจสอบเบื้องต้นยังไม่สามารถประมาณการเวลาในการเปิดทางได้ เนื่องจากระดับน้ำยังคงท่วมสูงและยังไม่มีแนวโน้มลดลง ทั้งนี้ การรถไฟฯ จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจะแจ้งรายละเอียดเพิ่มเติมให้ทราบ เมื่อมีความคืบหน้าในการเปิดเส้นทางเดินรถ ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้.-513-สำนักข่าวไทย

กองทัพภาคที่ 2 ซัดเขมรใช้แผนยั่วยุซ้ำแล้วซ้ำเล่า

อุบลราชธานี 27 ก.ย.-กองทัพภาคที่2 ซัดเขมรใช้แผนยั่วยุซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย้ำรู้ทันแผนโฆษณาชวนเชื่อต่อนานาชาติ เมื่อเวลา 14.40 น. วันที่ 27 ก.ย. 68 ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ได้สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 27 ก.ย. ณ เวลา 14.00 น. ว่าสถานการณ์โดยรวมเมื่อเวลา 12.02 น. ฝ่ายกัมพูชาได้พยายามสร้างสถานการณ์ความตึงเครียด ขึ้นอีกครั้งบริเวณพื้นที่ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี โดยใช้อาวุธสงครามยิงเข้ามายังพื้นที่ ของฝ่ายไทยจากบริเวณเนิน 677 มายังเนิน 600 และ เนิน 527 พร้อมทั้งใช้อาวุธปืนเล็กยิงปะทะเป็นระยะ ก่อนที่สถานการณ์จะยุติลง ทั้งนี้ การปะทะจำกัดวงอยู่เฉพาะบริเวณดังกล่าว แต่ทั้งสองฝ่ายยังคงตรึงกำลังควบคุมพื้นที่อย่างใกล้ชิด ต่อมาในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ฝ่ายไทยได้รับแจ้งจากกัมพูชา ว่า คณะสังเกตการณ์ระหว่างประเทศ (IOT) ของกัมพูชา จะเดินทางเข้าพื้นที่ช่องอานม้า กองทัพภาคที่ 2 ประเมินว่าเป็นความพยายามของกัมพูชา ในการสร้างเงื่อนไขและยั่วยุให้เกิดสถานการณ์ เพื่อให้สอดคล้องกับช่วงเวลาที่คณะ IOT […]

นายกฯ ลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วมอยุธยาฯ

พระนครศรีอยุธยา 27 ก.ย.-นายกฯ ลงพื้นที่พระนครศรีอยุธยา ตรวจน้ำท่วม เร่งเยียวยาแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน เดินหน้าบูรณาการหน่วยงานใช้งบแสนล้านบาท พัฒนาระบบชลประทานและการจัดการน้ำ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ สส.ของพรรค ให้การต้อนรับ และในโอกาสนี้ นายทวิวงศ์ โตทวิวงศ์ สส.พรรคประชาชน เขต1 ที่มาร่วมงานด้วย ทันทีที่นายกรัฐมนตรีได้เดินทางมาถึงบริเวณวัดโคกหิรัญ มีประชาชนมารอให้การต้อนรับ มอบดอกกุหลาบให้กำลังใจ พร้อมร้องเพลง มาร์ช อสม.ต้อนรับนายกรัฐมนตรี พร้อมกับถ่ายรูปเซลฟี่ อย่างเป็นกันเอง ก่อนที่จะรับฟังการรายงานสถานการณ์น้ำในพื้นที่จากผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยผู้ว่าราชการจังหวัดยืนยันว่า พื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ ไม่ใช่พื้นที่ทุ่งรับน้ำ พื้นที่มีโฉนดที่ดินทั้งหมด ไม่ใช่ที่สาธารณะ หรือแก้มลิง พร้อมขอให้มีการพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาเพื่อบรรเทาปัญหาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เนื่องจากไม่ได้รับความสะดวกในการประกอบอาชีพ นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณที่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น มาในสถานะนายกรัฐมนตรี ถือว่าสามารถที่จะมาตอบสนองความต้องการของประชาชนในทุกๆ มิติ รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่ทำงานร่วมกันเป็นทีมเดียวกัน กับพรรคร่วมรัฐบาล เป้าหมายคือประโยชน์สูงสุดของประชาชน นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ทราบดีอยู่แล้วว่าจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแห่งนี้ มีน้ำท่วมทุกปี น้ำท่วมซ้ำซาก […]