สำนักข่าวไทย 20 ส.ค.-กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ย้ำกินเนื้อวัว หรือนมวัวไม่เสี่ยงต่อการที่เลือดเป็นกรด สามารถกินได้ตามปกติ แต่ควรกินให้หลากหลาย รวมทั้งเพิ่มการออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง สามารถต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อออนไลน์ เกี่ยวกับประเด็นด้านสุขภาพเรื่องถ้าหากกินเนื้อวัวหรือนมวัวเป็นประจำ จะทำให้เลือดในร่างกายมนุษย์เป็นกรด และช่วยให้เชื้อไวรัสโควิด-19 เจริญเติบโตได้เป็นอย่างดีนั้น เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งความเป็นจริงแล้วความเป็น กรดด่างของเลือด ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงง่ายนักหรือเกิดจากการกินอาหารเพียงอย่างเดียว เนื่องจากระบบการทำงานของร่างกายจะมีกลไกการควบคุมอวัยวะให้ทำงานตามปกติ ผู้บริโภคยังคงกินเนื้อวัวและนมวัวได้ แต่ต้องรู้จักสังเกตวิธีการเลือกซื้อเนื้อวัวที่สด สะอาด มีลักษณะสีแดงสด เนื้อแน่น ลายเส้นไม่หยาบ โดยให้ใช้นิ้วกดดู เนื้อจะยืดหยุ่น ไม่มีรอยบุ๋ม รวมทั้งต้องไม่มีเม็ดสีขาวใสคล้ายเม็ดสาคู เพราะเป็นตัวอ่อนของพยาธิตัวตืด สำหรับเนื้อสัน ควรมีสีแดงสดและมีมันปรากฏอยู่เป็นจุดเล็ก ๆ ลักษณะของไขมันแตกง่ายกลิ่นของเนื้อวัวจะมีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากเนื้อหมู ไม่มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ไม่มีเมือก เมื่อวางไว้จะมีน้ำสีแดงออกมา เพื่อความปลอดภัยควรเลือกซื้อจากแหล่งที่มีการรับรองมาตรฐานตลาดสดน่าซื้อ หรือสังเกตจากตราประทับบนหนังสัตว์ที่ชำแหละจากโรงฆ่าสัตว์ที่ได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ หรือร้านที่มีใบรับรองของฮาลาล และขณะเลือกซื้อเนื้อสัตว์ให้สวมถุงมือหรือใช้ที่คีบหยิบจับทุกครั้ง เพื่อไม่ให้มือสัมผัสกับเนื้อสัตว์โดยตรง
“สำหรับการเลือกซื้อนมและผลิตภัณฑ์นมควรสังเกตวันหมดอายุ มีเครื่องหมาย อย.รับรองอย่างถูกต้อง และอ่านฉลากข้างผลิตภัณฑ์ว่ามีน้ำนมโคสดแท้กี่เปอร์เซ็นต์ โดยให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำนมโคสดแท้ที่เปอร์เซ็นต์สูง จะได้รับสารอาหารจากนมมากกว่า ภาชนะบรรจุต้องมีสภาพไม่รั่ว ไม่ซึม ไม่บวม ไม่ฉีกขาด เลี่ยงการซื้อนมจากร้านค้า ที่จำหน่ายแบบไม่เหมาะสม หรือเก็บในตู้แช่ หรือสถานที่เก็บที่ไม่ได้มาตรฐานเพราะอาจทำให้นมบูดได้ง่าย ทั้งนี้ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อความปลอดภัย อาหารที่ปรุงประกอบจากเนื้อวัวควรปรุงสุกร้อน เช่น อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส นาน 5 นาทีขึ้นไป แต่หากกินไม่หมด ควรอุ่นร้อนเป็นระยะ ๆ และกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และหลากหลาย มีปริมาณและสัดส่วนที่เหมาะสม ได้คุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน เพียงพอ นอกจากนี้ ควรจัดการสุขอนามัยส่วนบุคคลให้สะอาดอยู่เสมอ หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ร่วมกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะช่วยส่งเสริมให้ร่างกายมีภูมิต้านทานการต่อสู้เชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว