กรุงเทพฯ 31 ก.ค. – ผอ.รพ.บุษราคัม เผยเปิดมา 2 เดือนครึ่ง มีผู้ป่วยสะสมเกือบ 13,000 คน เฉพาะเดือน ก.ค. เกือบ 9,000 คน สั่งซื้อเครื่องออกซิเจนเพิ่มอีก 550 เครื่อง จากที่มีอยู่ 800 เครื่อง ยอมรับขาดแคลนบุคลากร แต่ทำเต็มที่
นพ.กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะ ผอ.โรงพยาบาลบุษราคัม แถลงผ่านระบบออนไลน์ ถึงการให้บริการของโรงพยาบาลบุษราคัม ว่า ตั้งแต่เปิดให้บริการมาตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.64 ด้วยจำนวนเตียง 1,100 เตียง จากนั้นเปิดเฟส 2 เมื่อวันที่ 28 พ.ค.64 เพิ่มอีก 1,100 เตียง และเฟส 3 เริ่มเปิดให้บริการ เมื่อวันที่ 4 ก.ค.64 จำนวน 1,500 เตียง ทำให้ขณะนี้มีเตียงสะสม 3,700 เตียง ตั้งแต่เปิดให้บริการจนถึงปัจจุบัน มีผู้ป่วยโควิด-19 สะสม 12,929 คน ยังพักรักษาตัวอยู่ 3,500 คน กลับบ้านแล้วเกือบ 9,000 คน และมีผู้ป่วยบางส่วนถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลอื่นที่มีศักยภาพสูงกว่า ส่วนผู้ป่วยเสียชีวิต คิดเป็นร้อยละ 5-10
เมื่อแบ่งตามช่วงเวลาพบว่า ตั้งแต่ 14 พ.ค.-30 มิ.ย.64 มีผู้ป่วยสะสม 4,200 คน ขณะที่เดือน ก.ค. เดือนเดียว (1-31 ก.ค.64) มีผู้ป่วยเกือบ 9,000 คน ซึ่งมีอาการหนักและซับซ้อนขึ้น โดยผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เดือน พ.ค.64 ไม่มี เดือน มิ.ย.64 คิดเป็นร้อยละ 2 เดือน ก.ค.64 คิดเป็นร้อยละ 5 ซึ่งเฉพาะครึ่งเดือนหลังของ ก.ค. คิดเป็นร้อยละ 10 ทางโรงพยาบาลมีจุดให้บริการออกซิเจนทั้ง 3 เฟส รวม 800 จุด ขณะนี้ใช้เกือบเต็มจำนวน อย่างไรก็ตาม คาดว่าการระบาดยังคงมีต่อเนื่อง จึงสั่งซื้อเพิ่มอีก 550 เครื่อง ตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข จะไม่มีการปฏิเสธผู้ป่วย ทำให้มีผู้ป่วยทุกประเภท ตั้งแต่ทารกอายุ 1 เดือน ไปจนถึงผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง มีแผลกดทับ ผู้พิการ มีทั้งคนไทย และต่างด้าว ลาว กัมพูชา เมียนมา ช่วงแรกมีคนต่างด้าว ร้อยละ 40 ขณะนี้คนต่างด้าวเหลือร้อยละ 20
ผอ.โรงพยาบาลบุษราคัม เผยว่า ขณะนี้มีบุคลากรปฏิบัติงานเกือบ 1,800 คน เกือบ 100% มาจากต่างจังหวัด เฉพาะในส่วนที่ดูแลผู้ป่วย ใช้เจ้าหน้าที่ 3,000 คน เป็นพยาบาล 200 คน ดูแลผู้ป่วย 3,500 คน เครื่องช่วยหายใจ 300 เครื่อง ยอมรับว่า จำนวนบุคลากรที่ดูแลผู้ป่วยไม่เพียงพอ ส่วนหนึ่งเกิดจากขณะนี้จังหวัดต่างๆ มีการรับผู้ป่วยกลับภูมิลำเนา ทำให้ขาดเจ้าหน้าที่ในส่วนภูมิภาคที่จะเดินทางมาช่วย จึงมีการบริหารจัดการลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น เช่น ลดการเขียน ใช้วิธีสั่งการแบบพิมพ์ เจาะเลือดและให้ยาฟาวิพิราเวียร์ ณ จุดแรกรับ ภาระงานที่หนักมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีการเสนอปรับค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ที่มาปฏิบัติหน้าที่ โดยเริ่มปรับค่าตอบแทนเป็น 3 เท่า มาตั้งแต่ 1 ก.ค.64 ที่ผ่านมา โดยจะได้รับเมื่อทำหน้าที่เกินหน้าที่ปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมมาช่วยงาน Back Office เพื่อช่วยลดภาระแพทย์-พยาบาล ขณะที่กองบัญชาการกองทัพไทย จัดเจ้าหน้าที่มาช่วยเคลื่อนย้ายเตียง และขนส่งอาหารให้ผู้ป่วย ด้านตำรวจ สภ.ปากเกร็ด ส่งตำรวจดูแลความปลอดภัย 24 ชั่วโมง
สำหรับผู้ป่วยได้มีการจัดกลุ่มดูแลกันเอง กลุ่มละ 18 คน โดยมีหัวหน้ากลุ่ม เรียกว่า “ผู้ใหญ่บ้าน” ช่วยวัดไข้ วัดความดัน สื่อสารกับพยาบาล และมีผู้ป่วยอาสาสมัครช่วยดูแลพื้นที่ส่วนกลาง เช่น ทำความสะอาดห้องน้ำ ดูแลผู้ป่วยอื่น แม้แต่ช่วยผู้ป่วยที่เสียชีวิต ต้องขอขอบคุณในความเสียสละเอื้ออาทร เจ้าหน้าที่จะเข้ามาดูแลผู้ป่วยวันละ 5 เวลา ส่วนการสื่อสารผ่านโทรศัพท์ และกรุ๊ปไลน์ สามารถติดต่อได้ 24 ชั่วโมง ขณะที่อาหารและน้ำดื่มจัดไว้ให้อย่างเพียงพอ
พื้นที่ภายในโรงพยาบาลจะมีการแบ่งโซนผู้ป่วย เช่น กลุ่มเปราะบาง มีโรคประจำตัว ส่วนผู้ป่วยอาการหนักสีแดงเข้ม ขณะนี้มีอยู่ 12 เตียง ใส่ท่อและเครื่องช่วยหายใจ ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันทำให้ยังไม่สามารถส่งต่อผู้ป่วยได้ และเตรียมเปิดหอผู้ป่วยไอซียูวิกฤตอีก 17 เตียง ซึ่งจะมีอุปกรณ์ครบถ้วน และบุคลากรแพทย์-พยาบาล เดินทางจากต่างจังหวัดมาถึงพรุ่งนี้ และเตรียมเสริมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านอีก 69 คน นอกจากนี้ สัปดาห์หน้าเตรียมเปิดเฟซบุ๊กแฟนเพจโรงพยาบาลบุษราคัม เพื่อใช้เป็นช่องทางสื่อสารและแจ้งระบบบริการ รวมทั้งการแก้ปัญหาต่างๆ พร้อมรับคำติชมอย่างสร้างสรรค์. – สำนักข่าวไทย