กรุงเทพฯ 28 ก.ค.- สธ.เผย WFH ปีนี้ต่ำกว่าปีที่แล้วถึงครึ่ง วอนทุกฝ่ายร่วมมือฝ่าวิกฤติ ยอมรับตัวเลขติดเชื้อดาวกระจายไปทั่วประเทศ เชิญชวนติดตามสถานการณ์แบบเรียลไทม์ผ่าน “Dashboard โควิด 19”
นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิตพัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง เขตสุขภาพที่ 5 และนพ.ยงเจือ เหล่าศิริถาวร ผู้อำนวยการศูนย์สารสนเทศ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันแถลงถึงการพัฒนา : “Dashboard โควิด 19” ว่า เป็นความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนในการ ใช้เทคโนโลยีมาช่วยเฝ้าระวังสถานการณ์ทางระบาดวิทยา ของโรคติดต่ออย่างบูรณาการ โดยทำเป็นเรียลไทม์ดาต้า (Real Time Data ) เชื่อมโยงข้อมูล ระบบสารสนเทศด้านระบาดวิทยาเพื่อตอบโต้การระบาดของโรค พัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ในหน่วยปฏิบัติการควบคุมโรคติดต่อ เพื่อการเฝ้าระวังควบคุมโรคแบบ Real Time เพื่อวางแผนนโยบายและกลยุทธ โดยที่มีความปลอดภัยและมั่นคง ซึ่งถือเป็นการบูรณาการเทคโนโลยีในทุกด้านรวมกับศาสตร์ในการควบคุมโรคระบาดอย่างแท้จริง ซึ่งทุกฝ่าย ประชาชนทั่วไป สื่อต่างๆ สามารถติดตาม ข้อมูลได้ทั่วประเทศ เป็นรายจังหวัดแต่ละพื้นที่ว่ามีสถานการณ์ ผู้ป่วย เป็นอย่างไร มีการรายงานทั้งแผนที่ผู้ติดเชื้อ แผนที่การแพร่กระจาย ประชากรกลุ่มเสี่ยง ขีดความสามารถในการรับมือ เป้าหมายคือช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
“ยอมรับว่า จากข้อมูลที่เห็นคือ เป็นสีแดง ตัวเลขผู้ติดเชื้อกระจายไปทั่วประเทศ แต่ข้อมูลที่ยังไม่ได้ใส่ใน “Dashboard โควิด 19” คือการกระจายวัคซีน เพราะต้องยอมรับว่า กลัวการบิดเบือน แล้วทำให้เกิดการเข้าใจผิด เช่นเดียวกับ วัคซีน SINOVAC ในขณะนี้ หากใครให้ข้อมูลนับสนุน ก็จะถูดโจมตีบิดเบือน ถูกกล่าวว่าเป็นวัคซีน INFERIOR ด้อยกว่ายี่ห้ออื่น ซึ่งขณะนี้บางส่วนเป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ได้อยู่บนฐานวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด”นายแพทย์ธนรักษ์กล่าว
นายแพทย์ธนรักษ์กล่าว ด้วยว่า จากการประเมินการล็อกดาวน์ พื้นที่ 13 จังหวัดสีแดงเข้ม 14 วัน ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 2 สิงหาคม 2564 นี้ ยอมรับว่า ตัวเลขความร่วมมือการหยุดทำงานอยู่ที่อยู่บ้าน (WFH) น้อยกว่าเดือนเมษายนปี 63 ซึ่งคงเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความล้า ที่มีการติดเชื้อยาวนาน ความร่วมมือของเอกชนที่ทำให้ทำงานที่บ้านน้อยลงกว่าปีที่แล้ว โดยข้อมูลเปรียบเทียบคือ ปีนี้มีการทำงาน WFH เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ขณะที่ปีที่แล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ปีนี้คนออกมาข้างนอกบ้านมากกว่า แม้ออกมาทำงานในที่ทำงานน้อยลงกว่าช่วงปกติ แต่พบว่า การออกมาซื้อสินค้าในซุปเปอร์มาร์เก็ตมากกว่าปีที่แล้ว
“การล็อกดาวน์รอบนี้ คนหยุดอยู่บ้านน้อยกว่าปีที่แล้ว ต้องมารอดูอีกทีว่า ผลเหล่านี้ มีผลต่อการสถานการณ์การหยุดติดเชื้อดีมากขึ้นแค่ไหน รอบนี้ คนกังวลการติดเชื้อ แต่เหมือนกับว่า ถ้าไม่ใกล้ตัวจริงๆ หรือไม่สัมผัสใกล้ชิดก็จะไม่กังวลมากนัก ทุกคนรู้สถานการณ์ รู้เรื่องเตียงตึง หาเตียงไม่ใช่ง่ายๆ ซึ่งข้อแนะนำตอนนี้คือ พยายยามจำกัดการออกข้างนอกให้มากที่สุด ความปลอดภัยขึ้นกับตัวเราเอง ให้ระวังเต็มที่ ใส่หน้ากากอนามัยตลอด ระวังการรับประทานข้าวร่วมกับคนอื่น”นายแพทย์ธนรักษ์กล่าว
นายแพทย์ธนรักษ์กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์หนักการแพร่นะบาดของโควิด-19 หนักที่สุด เป็นเวลาที่ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน ประชาสังคม ต้องหันหน้าร่วมมือฝ่าวิกฤติไปด้วยกัน ร่วมกันเข้าใจและจัดการสถานการณ์ให้ผ่านพ้นไป การระบาด 2 รอบที่ผ่านมา ประเทศไทยยังผ่านพ้นมาได้เพราะความร่วมมือที่ดี ครั้งนี้ก็เช่นกัน และหากยิ่งมีการเพิ่มปริมาณการฉีดวัคซีนได้กว้างขวางยิ่งขึ้น ก็จะช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นมาก โดยจะเห็นได้กว่า กรณีต่างประเทศ ที่มีการฉีดวัคซีนได้ถึงร้อยละ 50ของประชากร พบว่าคนที่ติดเชื้อส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีน ส่วนผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วแม้จะติดเชื้อบ้าง แต่ก็จะลดความรุนแรงของการเจ็บป่วยการเสียชีวิต ลดผู้ป่วยที่นอนในโรงพยาบาล โดยเฉพาะลดผู้ป่วยไอซียูจากโรคนี้ ซึ่งก็นับว่าเป้นแสงสว่างที่เราเห็นในปลายอุโมงค์ แม้ว่าช่วงนี้จะเกิดความยากลำบากด้านเศรษฐกิจ ด้านรายได้ แต่ในอีกไม่นาน ก็จะฟื้นขึ้นมาได้ หากทุกฝ่ายร่วมมือกัน .-สำนักข่าวไทย