กรุงเทพฯ 28 ก.ค. – “กรมสมเด็จพระเทพฯ” ทรงกล่าวสุนทรพจน์ถึงประสบการณ์ความสำเร็จ “โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันในโรงเรียน” ประเทศไทย ในที่ประชุม UN ระดับผู้นำด้านระบบอาหารโลก
การประชุมสุดยอดผู้นำระบบอาหารโลกของสหประชาชาติ (Pre-summit of the UN Food Systems Summit) ครั้งนี้ มีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ซึ่งมอบหมายให้นายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมประชุมผ่านระบบประชุมออนไลน์ไปยังสำนักงานใหญ่ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ณ กรุงโรม ระหว่างวันที่ 26-27 กรกฎาคมที่ผ่านมา
นายทองเปลว กล่าวว่า วันที่ 27 กรกฎาคม 2564 เวลา 16.30-18.30 น. ตามเวลาประเทศไทย สหประชาชาติ (UN) ได้กราบบังคมทูลสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงกล่าวสุนทรพจน์เล่าถึงประสบการณ์ความสำเร็จในการดำเนินงาน “โครงการอาหารกลางวัน” และ “โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันในโรงเรียน” ของประเทศไทย
ทั้งนี้ ในที่ประชุมมีผู้นำประเทศ ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเกษตรและอาหาร กว่า 140 ประเทศทั่วโลก เข้าร่วมประชุมด้วย
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงกล่าวต่อที่ประชุมว่า ได้ทรงงาน “โครงการอาหารกลางวัน” และ “โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันในโรงเรียน” มากว่า 40 ปี เพราะโรงเรียนเป็นศูนย์กลางของชุมชนและศูนย์กลางของการเรียนรู้ และโรงเรียนเป็นพื้นที่แห่งการพัฒนาด้านอาหาร สุขภาพ และการศึกษา เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเมื่อ 40 ปีที่ผ่านมา พระองค์ทรงเริ่มโครงการในพื้นที่ทุรกันดาร โดยทรงจัดหาเมล็ดพันธุ์ผัก เมล็ดถั่ว กล้าไม้ผล และพันธุ์สัตว์ต่าง ๆ เช่น สัตว์ปีก ปศุสัตว์ สุกร แพะ และปลา พระราชทานให้แก่โรงเรียน มีการส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้การอนุรักษ์น้ำและดิน มีการใช้สารชีวภาพในการควบคุมและกำจัดศัตรูพืชด้วยตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติในแปลงเกษตรของโรงเรียน เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีอันตราย ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้วิธีการบูรณาการความรู้จากหลายวิชาเข้าด้วยกัน และยังสามารถขายผลผลิตจากแปลงเกษตรของโรงเรียนให้กับโรงอาหารของโรงเรียนในรูปแบบของระบบสหกรณ์อีกด้วย
“โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันในโรงเรียน” เป็นแบบต้นแบบของการบริโภคอย่างยั่งยืนในปัจจุบัน เพราะทุกคนได้เรียนรู้และเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างอาหารและสุขภาพ ในครัวของโรงเรียน ครู นักเรียน และผู้ปกครอง จะได้เรียนรู้ถึงความสัมพันธ์ของอาหาร โภชนาการ และสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ หากผลผลิตทางการเกษตรในโรงเรียนผลิตไม่เพียงพอสำหรับนักเรียน โรงเรียนก็จะจัดซื้อวัตถุดิบภายในหมู่บ้านมาใช้ทำอาหาร ในส่วนของห้องพยาบาลของโรงเรียน ครูและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จะสอนให้นักเรียนเข้าใจถึงสุขภาพ การสุขาภิบาล อาหารที่สะอาด น้ำดื่มที่สะอาด การล้างมือ สภาพแวดล้อมที่สะอาด นอกจากนี้ห้องพยาบาลในโรงเรียนจะให้วิตามินและแร่ธาตุเสริมแก่เด็กนักเรียน เช่น วิตามินรวม ไอโอดีน และธาตุเหล็กด้วย
การตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทั้งวัฒนธรรมระดับท้องถิ่นและระดับชาติเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้จะเชื่อมโยงสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 สะท้อนให้เห็นว่าระบบสาธารณสุขและโภชนาการมีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่ผลจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดทำให้ต้องประกาศปิดสถานศึกษา ดังนั้น จึงต้องย้ายการศึกษาจากโรงเรียนไปสู่ครัวเรือนและชุมชน เพื่อที่จะสามารถให้การศึกษาเด็กได้อย่างต่อเนื่องมากที่สุด
ทรงเน้นย้ำถึงความสำคัญถึงบทบาทของโรงเรียนในระบบอาหารว่า “ในมุมมองของข้าพเจ้า ประเทศไทยก็มีศักยภาพเทียบเท่ากับประเทศอื่นๆ ที่โรงเรียนเป็นสถานที่ที่ให้เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงได้ เปรียบเสมือนศูนย์กลางของสมาชิกในชุมชน ดังนั้น โรงเรียนจึงเหมาะกับเป็นสถานที่สำหรับการพัฒนาด้านอาหาร สุขภาพ และการศึกษา เพื่อให้บรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน”
ในตอนท้าย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงกล่าวว่า “หากเราช่วยเหลือแบ่งปันและห่วงใยกัน เราจะสามารถผ่านทุกปัญหาไปด้วยกัน”. – สำนักข่าวไทย