สธ.12 ก.ค.-อธิบดีกรมควบคุมโรค แจงฉีดสลับชนิดจะทำในกลุ่มประชาชนทั่วไป เข็ม 1 ซิโนแวค เข็ม 2 เป็นแอสตราฯ ห่าง 3 สัปดาห์ ส่วนใครได้รับแอสตราฯ เข็ม 1 เข็ม 2 ก็ยังเป็นแอสตราฯ
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ฉีดแล้วกว่า 12.5 ล้านคนเข็มที่ 1 กว่า 9.3 ล้านโดสหรือคิดเป็น 10% ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม จะมีการทยอย ส่งไปยังพื้นที่ต่างๆอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ล้านโดส แนวปฏิบัติขณะนี้เนื่องจากสถานการณ์ขณะนี้มีการระบาดค่อนข้างมากในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ดังนั้นกลุ่มที่ต้องฉีดภายใน 1-2 สัปดาห์นี้คือผู้สูงอายุและผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรังโดยในพื้นที่ระบาด อย่างสัปดาห์นี้จะมีการส่งวัคซีนพื้นที่ กทม. 700,000 โดส ใน 126 จุดฉีด กทม. และ 21 จุดฉีดนอกพื้นที่เพื่อให้ฉีดกับกลุ่มเป้าหมาย
อย่างไรก็ตามความรู้เรื่องโควิดเปลี่ยน เชื้อกลายพันธุ์ตลอด วัคซีนก็ต้องปรับตาม ซึ่งที่ประชุมประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติวันนี้ ให้ปรับ 2 เรื่องคือ ให้ฉีดวัคซีนสลับชนิดกันได้ โดยที่เข็มแรกเป็นซิโนแวค เข็มที่ 2 เป็นแอสตราเซเนกา ห่างจากเข็มแรกประมาณ 3 สัปดาห์ เนื่องจากวัคซีนทั่วโลกมีการรวบรวมข้อมูลตรงกันว่าการให้วัคซีนสลับชนิดกันจะได้ภูมิคุ้มกันขึ้นได้สูง และเชื่อว่าจะสามารถต่อสู้กับเชื้อกลายพันธุ์โดยเฉพาะเชื้อเดลตาได้ดี
นพ.โอภาส กล่าวว่า หากเข็มที่1 เป็นซิโนแวค(เชื้อตาย) เข็มที่ 2 ต้องให้เป็นแอสตราเซเนกา(ไรวัลเวกเอตร์) การฉีดแบบนี้เป็นตัวกระตุ้นประสิทธิภาพให้สูงขึ้น ต่อต้านเดลตาได้ดีขึ้น เพราะระดับภูมิคุ้มกันจะขึ้นในระดับสูงได้เร็ว ใกล้เคียงกับผู้ได้รับแอสตราเซเนกา2 เข็ม แต่ในระยะสั้นกว่า ส่วนกรณีผู้ที่ได้รับวัคซีนแอสตราเซเนกา เข็ม 1แล้วยังไม่ต้องข้ามชนิด ให้รับเข็ม 2 เป็นแอสตราเซเนกา เหมือนเดิม โดยให้ห่างกัน 12 สัปดาห์ จากนี้จะจัดสรรวัคซีนให้เพียงพอให้เอาไปใช้ได้ตามสถานการณ์ตามความจำเป็นเพื่อให้การให้วัคซีนมีความกระชับและรวดเร็วมากขึ้น
ส่วนการ Booster dose สำหรับบุคลากรการแพทย์ด่านหน้าที่เสี่ยงสัมผัสเชื้อ เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีวัคซีนชนิดไหนที่ลดป่วยลดเสียชีวิตได้ 100% และเชื้อยังกลายพันธุ์ตลอดเวลา อาจทำให้วัคซีนที่ใช้อยู่มีประสิทธิภาพลดน้อยลงตามเวลา ดังนั้นต้องให้ Booster dose เข็ม 3 ในแพทย์ พยาบาลด่านหน้าจะต้องกระตุ้นเข็มที่ 2 ห่างกับเข็ม 3 ประมาณ 3-4 สัปดาห์ โดยจะเป็นวัคซีนแอสตราเซเนกาหรือไฟเซอร์ก็ได้.-สำนักข่าวไทย