กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 5 ต.ค.-อธิบดีกรมวิทย์ฯ เผยผลตรวจสายพันธุ์โควิด-19 ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เฉพาะพื้นที่ กทม. เป็นสายพันธุ์เดลตา (สายพันธุ์อินเดีย) สูงถึงร้อยละ 52 ส่วนสายพันธุ์อัลฟา (สายพันธุ์อังกฤษ) ร้อยละ 47.8
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับเครือข่ายห้องปฏิบัติการเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด-19 ในประเทศไทย โดยจากข้อมูลการเฝ้าระวัง ระหว่างวันที่ 28 มิ.ย. ถึงวันที่ 2 ก.ค.64 พบว่า ในพื้นที่กรุงเทพฯ พบสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยพบ 487 ราย (52%) ส่วนสายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) 447 ราย (47.8%) และสายพันธุ์เบตา (แอฟริกาใต้) 2 ราย (0.2%) โดยผู้ป่วยสายพันธุ์เบตาทั้ง 2 ราย เป็นครอบครัวเดียวกับที่พบรายแรกที่ติดเชื้อจากลูกชายที่เดินทางมาจาก จ.นราธิวาส
ส่วนภูมิภาคพบสายพันธุ์อัลฟา 1,011 ราย (77.6%) สายพันธุ์เดลตา 234 ราย (18%) และสายพันธุ์เบตา 57 ราย (4.4%) โดยพบว่าสายพันธุ์เดลตามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์
ส่วนสายพันธุ์อัลฟา และเบตา มีแนวโน้มลดลง ซึ่งสายพันธุ์เบตาส่วนใหญ่ยังพบในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะใน จ.นราธิวาส มากที่สุด
ดังนั้น ข้อมูลการเฝ้าระวังทั้งประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.64 ถึงวันที่ 2 ก.ค.64 สายพันธุ์อัลฟา จำนวน 9,209 ราย (81.98%) สายพันธุ์เดลตา 1,838 ราย (16.36%) และสายพันธุ์เบตา 186 ราย (1.66%)
สัดส่วนสายพันธุ์ที่เฝ้าระวังสะสมทั้งประเทศ พบว่า สายพันธุ์อัลฟายังมากที่สุดในประเทศไทย แต่มีแนวโน้มลดลง ส่วนสายพันธุ์เดลตามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์
นอกจากนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้เพาะเลี้ยงเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์ เพื่อนำมาทดสอบกับซีรัมคนที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ว่าสามารถป้องกันหรือลดฤทธิ์ไวรัสกลายพันธุ์ ทั้งสายพันธุ์อัลฟา เดลตา และเบตา ได้มากน้อยเพียงใด โดยจะใช้วิธีมาตรฐาน คือ Plaque Reduction Neutralization Test (PRNT) ซึ่งเป็นการทดสอบกับไวรัสจริง ภายในห้องปฏิบัติการชีวนิรภัย ระดับ 3 รวมถึงการทดสอบกับซีรัมของผู้ที่ได้รับวัคซีนต่างชนิดกันอีกด้วย.-สำนักข่าวไทย