กรุงเทพฯ 22 มิ.ย. – ความคืบหน้าการทดลองรับวัคซีนโควิด-19 สลับชนิดกัน ระหว่างซิโนแวค และแอสตราเซเนกา ใน เข็มที่ 1 และ 2 เพื่อดูระดับภูมิคุ้นกันในร่างกาย และอาจใช้เป็นทางเลือกในอนาคต ล่าสุดพบว่าเบื้องต้นพบภูมิคุ้มกันสูงกว่าการรับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม และคาดว่าการศึกษาทดลองจะแล้วเสร็จใน 1-2 เดือน
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงความคืบหน้าการศึกษาทดลองรับวัคซีนโควิด-19 สลับชนิดกัน เข็มแรกฉีดซิโนแวค เข็มที่ 2 ฉีดแอสตราเซเนกา ว่าคืบหน้าไปมาก คาดว่าภายใน 1-2 เดือน จะทราบผล ขณะนี้กำลังดูเรื่องอาการข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากการศึกษาของไทยแตกต่างกับต่างชาติ ทั้งในอังกฤษ สเปน และแคนาดา เพราะในต่างประเทศฉีดวัคซีนที่เป็นชนิด mRNA หรือไวรัลเวกเตอร์ แต่ของไทยเป็นวัคซีนเชื้อตาย ซึ่งต้องเปรียบเทียบภูมิต้านทานว่ามีมากน้อยแค่ไหน เบื้องต้นให้ผลการฉีดวัคซีนสลับชนิดกันให้ผลดีที่น่าพอใจ ระดับภูมิคุ้มกันสูงกว่าการรับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม แต่ต้องดูในระยะยาว และต้องมีการศึกษาทดลองภายนอก
นอกจากนี้ ศ.นพ.ยง ยังกล่าวย้ำว่า การตรวจหาภูมิคุ้มกันร่างกายหลังรับวัคซีน ไม่มีความจำเป็น และเกรงว่าจะเป็นการเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ เพราะการตรวจไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะการตรวจด้วยชุดทดสอบ หรือ Rapid test เนื่องจากไม่สามารถตรวจภูมิได้จริง เพราะการตรวจภูมิคุ้มกันมีความสลับซับซ้อน และต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การตรวจด้วยชุดทดสอบไม่กี่ร้อยบาทไม่สามารถนำมาอ้างอิงหรือเป็นมาตรฐานได้.-สำนักข่าวไทย