ผลชันสูตรลุงติดโควิดเสียชีวิตหลังรักษาหายกลับบ้าน ไม่เกี่ยวโควิด

สำนักข่าวไทย 9 พ.ค. – อธิบดีกรมการแพทย์ แจงผลชันสูตรเบื้องต้น กรณีลุงป่วยโควิดรักษาหายแล้วกลับบ้านเสียชีวิต ไม่น่าเกี่ยวโควิด แต่เป็นระบบหัวใจและหลอดเลือด ยันให้การรักษาตามมาตรฐาน ชี้การอยู่ใน Hospitel หรือ รพ. จะอิงนับจากวันตรวจเจอเชื้อเป็นหลัก แล้วนับไป 14 วัน หรือ หากระหว่างอยู่สถานพยาบาลหรือ Hospitel เกิดเจอเชื้อภายหลังก็นับไปจากนั้นอีก 14 วัน ไม่มีทางปล่อยคนป่วยรักษาไม่หายกลับบ้านแน่นอน


นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงกรณีคนไข้โควิด รักษา 10 วัน ออกจากรพ. และเสียชีวิต ระหว่างกลับบ้านว่า ก่อนอื่นต้องขอเสียความเสียใจกับญาติผู้เสียชีวิตด้วย โดยกระบวนการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 กำหนดให้ดูแลผู้ป่วยใน รพ.หรือในสถานที่รัฐจัดให้ อย่างน้อย 14 วัน นับจากวันที่ตรวจพบเชื้อ หรือนับจากวันที่เริ่มมีอาการ ทั้งนี้คนไข้คนดังกล่าวได้มารับการรักษาพยาบาลใน Hospitel ที่สถาบันมะเร็งดูแล ซึ่งยืนยันเป็นการรักษาตามมาตรฐาน โดยเมื่อแรก ทราบว่าผู้ป่วยติดเชื้อ ทางสถาบันฯ ได้จัดรถไปรับมาดูแลที่ รพ. ตลอดการรักษาก็พบว่าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น เอ็กซเรย์ปอดก็ปกติ แม้แต่เพื่อนที่ห้องพักเดียวกันก็เห็นว่า คนไข้แข็งแรงดี ตอนจะกลับก็มีการร่ำลาเพื่อนร่วมห้อง ที่พักในห้องเดียวกัน และทางสถาบันได้ย้ำถามแล้วว่า ให้แจ้งญาติมารับหรือไม่ แต่คนไข้ยืนยันกลับบ้านเอง ทั้งนี้ตามปกติของคนไข้ป่วยโควิด จะไม่มีทางที่จะมีอาการเฉียบพลัน หรือ ทรุดลงโดยไม่มีสาเหตุ เบื้องต้นทราบว่ามีการส่งศพคนไข้ดังกล่าวให้สถานบันนิติเวช ตรวจชันสูตรแล้ว และทราบว่า การเสียชีวิตน่าจะเกี่ยวกับโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด

นพ.สมศักดิ์ กล่าวย้ำว่า การรักษาโควิดของผู้ป่วยทุกคน ปฏิบัติตามแนวทางเวชปฏิบัติ ที่ผู้เชี่ยวชาญกำหนด ทั้งการวินิจฉัย ดูแลรักษา และการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล ซึ่งชัดเจนว่า ในผู้ป่วยรายนี้ ทำตามหลักเกณฑ์ คือ อยู่กระบวนการรักษาจนครบ เพราะหากเมื่อนับการรักษาของคนไข้รายนี้ ทราบผลว่าติดเชื้อ ได้ถูกรับมารักษาพยาบาล หลังจากผ่านทราบผลติดเชื้อไปแล้ว 3 วัน และ อยู่รพ.รวม 11 วัน ก็เท่ากับครบ 14 วัน พอดี


สำหรับแนวทางเวชปฏิบัติ การรักษาผู้ป่วยโควิด -19 แบ่งออกเป็น 4 กรณี ได้แก่ 1. ผู้ติดเชื้อโควิด ไม่มีอาการอื่น หรือสบายดี แนะนำให้นอนรพ.หรือ สถานที่รัฐจัดให้ อย่างน้อย 14วันนับตั้งแต่วันที่ตรวจพบเชื้อ และให้จำหน่าย จากโรงพยาบาลได้ หากมีอาการปรากฎขึ้นมาให้ตรวจวินิจฉัยและรักษาตามสาเหตุ ดูแลรักษาตามดุลยพินิจของแพทย์ ไม่ให้ยาต้านไวรัส เนื่องจากส่วนมากหายได้เองและอาจได้รับผลข้างเคียงจากยา

  1. ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง โรคร่วมสำคัญ ภาพถ่ายรังสีปอดปกติ ให้ดูแลรักษาตามอาการ ส่วนมากหายได้เอง แนะนำให้นอนโรงพยาบาล หรือในสถานที่รัฐจัดให้ อย่างน้อย 14 วัน นับจากวันที่เริ่มมีอาการ หรือจนกว่าอาการ จะดีขึ้นอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง พิจารณาจำหน่ายผู้ป่วยได้ พิจารณาให้ favipiravir ตามดุลยพินิจของแพทย์
  2. ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง หรือมีปัจจัยเสี่ยงข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ ได้แก่ อายุ >60 ปี โรคปอดอุดกั้น โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมโรคหัวใจแต่กำเนิด โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ ภาวะอ้วน (น้ำหนักมากกว่า 90 กก.) ตับแข็ง ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ หรือผู้ป่วยที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงแต่มีแนวโน้มที่จะมีความรุนแรงของโรคมากขึ้น แนะนำให้นอนโรงพยาบาล อย่างน้อย 14 วัน นับจากวันที่เริ่มมีอาการ หรือจนกว่าอาการจะดีขึ้น แนะนำให้ favipiravir โดยเริ่มให้ยาเร็วที่สุด ให้ยานาน 5 วัน หรือ มากกว่า ขึ้นกับอาการทางคลินิกตาม ความเหมาะสม หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
  3. ผู้ป่วยยืนยันที่ปอดบวม หรือมีภาวะลดลงของออกซิเจน แนะนำให้ favipiravir เป็นเวลา 5-10 วัน ขึ้นกับอาการทางคลินิกอาจพิจารณา

ส่วนเกณฑ์การพิจารณาจำหน่ายผู้ป่วยออกจากรพ. ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีอาการดีขึ้นและภาพรังสีปอดไม่แย่ลง, อุณหภูมิไม่เกิน 37.8 องศาฯ ต่อเนื่อง 24-48 ชั่วโมง.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผ่าไชน่า เรลเวย์ คว้า 3 โครงการรัฐในภูเก็ต

เหตุการณ์ตึก สตง.ถล่ม กลายเป็นปฐมบทในการปูพรมตรวจสอบบริษัท ไชน่า เรลเวย์ หลังพบเป็นผู้ชนะการประมูลโครงการก่อสร้างตึก สตง. และโครงการรัฐหลายแห่งทั่วประเทศ ล่าสุดที่ จ.ภูเก็ต ตรวจพบ 3 โครงการ และหนึ่งในนั้นกำลังมีปัญหาก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน

มหาสงครามโลก

นักวิชาการชี้ “มหาสงครามโลกครั้งที่ 3” เกิดแน่ถ้าโลกยังตึงเครียด

นักวิชาการด้านความมั่นคงและการต่างประเทศระดับแนวหน้าของไทย มีความเห็นตรงกันว่า หากผู้นำชาติมหาอำนาจไม่เร่งลดระดับความตึงเครียดสถานการณ์โลก

กู้ภัยนานาชาติ เครือข่าย USAR ถอนกำลังแล้ว

กู้ภัยนานาชาติ เครือข่าย USAR ถอนกำลังแล้ว หลังอยู่ปฏิบัติภารกิจค้นหา-กู้ชีพ สนับสนุนกู้ภัยไทย เหตุตึก สตง.ถล่ม กว่า 1 สัปดาห์

ธรรมชาติใต้ดินเปลี่ยนไป หลังแผ่นดินไหว 1 สัปดาห์

แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ส่งแรงสั่นสะเทือนในหลายพื้นที่ของภาคเหนือ แม้บนพื้นผิวดินจะไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก แต่พบความเปลี่ยนแปลงสภาพใต้ดินจนเกิดปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งหลุมยุบขนาดใหญ่ น้ำพุร้อนที่เคยพุ่งจากใต้ดินหายไป แต่น้ำตกที่แห้งในหน้าแล้งกลับมีน้ำไหลออกมา ซึ่งนักธรณีวิทยายืนยันเป็นผลพวงจากแผ่นดินไหวครั้งนี้

ข่าวแนะนำ

“ไฮโซกำมะลอ” กระโดดชั้น 3 สน.โคกคราม

“ไฮโซเก๊” โลก 2 ใบ เครียดปีนตึก หลังถูก “คะน้า” ดาราสาว ออกมาแฉกลางรายการดัง จนตำรวจต้องเข้าเกลี้ยกล่อมพาไปโรงพัก แต่ยังวิ่งหนีการควบคุม กระโดดลงมาจากชั้น 3 สน.โครกคราม บาดเจ็บ

วันที่ 11 ปฏิบัติการกู้ซากตึก สตง. ถล่ม

วันที่ 11 ของปฏิบัติการกู้ซากตึก สตง. พังถล่ม เจ้าหน้าที่เดินหน้าใช้เครื่องจักรหนักเข้า เคลียร์ซากต่อเนื่อง โดยเฉพาะโซนบี และซี ที่คาดว่าเป็นจุดที่มีผู้ติดค้างอยู่จำนวนมาก

ชุดค้นหาลงโพรงโซน B, C ลึก 5-6 เมตร ได้กลิ่นแรง ไม่พบผู้สูญหาย

“กู้ภัย” เผยเจาะโพรงพื้นที่โซน B และ C ได้แล้ว พร้อมส่งชุดค้นหาลงโพรงไปตรวจสอบลึก 5-6 เมตร ยังไม่พบผู้สูญหายเพิ่ม แต่ได้กลิ่นแรง เร่งเดินหน้าเครื่องจักรหนักเคลียร์ซากต่อเนื่อง ยันจะช่วยเหลือจนกว่านำร่างสุดท้ายออกมาครบ