24 เม.ย.-กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะแนวทางสำหรับศูนย์เด็กเล็กปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงแพร่ระบาดโรค
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากกรณีพบคลัสเตอร์ศูนย์เด็กเล็ก ที่จังหวัดเชียงใหม่มีเด็กนักเรียนอายุ 4-6 ปี 16 คนติดโควิด-19 จากครู การป้องกันโควิด-19 ในศูนย์เด็กเล็กจึงต้องเฝ้าระวังและปฏิบัติตามมาตรการการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง โดยควรมีการกำหนดจุดรับ-ส่งเข้าออกเฉพาะจุดเท่านั้น และไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามาพื้นที่ภายในของศูนย์เด็กเล็ก มีจุดคัดกรองวัดไข้ จุดล้างมือด้วยน้ำสบู่ ล้างเท้าด้วยน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างอ่อน เปลี่ยนเสื้อผ้าและสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าให้กับเด็กก่อนเข้าศูนย์ฯ รวมทั้งควรทำความสะอาดสถานที่ อุปกรณ์ต่างๆ ภายในศูนย์เด็กเล็กเป็นประจำ และให้กำหนดพื้นที่เว้นระยะห่าง 1-2 เมตร เช่น การจัดพื้นที่นอน การรับประทานอาหาร เป็นต้น และการกิจกรรมในห้องเรียน ควรแบ่งเป็นกลุ่มๆละ 5 – 6 คน เพื่อลดจำนวนเด็ก ลดการสัมผัสใกล้ชิดกัน รวมทั้งทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศเป็นประจำ และอุปกรณ์ เครื่องนอน ของเล่นทุกวัน โดยเฉพาะสถานที่ที่เด็กสัมผัสบ่อยๆ เช่น ราวบันได ลูกบิดประตู ทุก 1 – 2 ชั่วโมงอีกด้วย สำหรับในส่วนของครูและผู้ดูแลเด็ก ควรมีการคัดกรองวัดไข้ก่อนเข้าปฏิบัติงาน รวมทั้งทำความสะอาดร่างกาย และสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่กับเด็ก หากมีอาการเจ็บป่วยหรือพบว่ามีความเสี่ยงให้หยุดงานและควรไปพบแพทย์ทันที
“ทั้งนี้ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ในขณะนี้ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรดูแลเด็กเป็นพิเศษ หากไม่มีความจำเป็นไม่ควรพาเด็กออกจากบ้าน หรือควรสวมหน้ากากให้กับเด็กให้เหมาะสมตามช่วงอายุ เมื่อจำเป็นต้องออกนอกบ้าน แต่ไม่ควรสวมหน้ากากให้กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี เพราะหน้ากากอาจปิดกั้น ทางเดินหายใจทำให้เกิดอันตรายได้ และในช่วงนี้ พ่อแม่ ผู้ปกครอง หากจะหอมแก้มเด็กต้องมั่นใจว่าเราปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะบุคคลอื่นที่ไม่ใช่บุคคลในครอบครัวและมาสัมผัสใกล้ชิดเด็ก นอกจากนี้ ควรหมั่นสังเกตอาการของตนเอง และลูกเป็นประจำ หากเด็กมีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส ร่วมกับมีอาการของระบบทางเดินหายใจ เช่น เจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก หายใจเร็ว หายใจหอบเหนื่อย หรือเด็กอาจจะมีประวัติสัมผัสกับผู้ที่เข้าข่ายสงสัยหรือยืนยันว่ามีการติดเชื้อโควิด-19 ควรพาไปพบแพทย์ทันที” อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด .-สำนักข่าวไทย