กทม. 24 ก.พ. – เปรียบเทียบประสิทธิภาพวัคซีนโควิด-19 ของ 2 บริษัท พบว่าวัคซีนของซิโนแวค ประเทศจีน มีประสิทธิผล 78% ส่วนวัคซีนของแอสตราเซเนกา มีประสิทธิผล 62-90%
นอกจากวัคซีนซิโนแวคจะถึงไทยแล้ววันนี้ วัคซีนของแอสตราเซเนกาอีก 117,000 โดส ก็จะเดินทางมาถึงไทยเช่นกัน และทำให้ขณะนี้ไทยมีวัคซีนแล้วรวม 317,000 โดส เปิดข้อมูลเปรียบเทียบวัคซีนโควิด 2 ตัวนี้
กระทรวงสาธารณสุขได้เปรียบเทียบให้เห็นผลทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนของ ซิโนแวค และแอสตราเซเนกา ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากประเทศต้นทาง พบว่าวัคซีนของซิโนแวค ประเทศจีน มีประสิทธิผลร้อยละ 78 ส่วนวัคซีนของแอสตราเซเนกามีประสิทธิผล 62-90%
นอกจากนี้ นพ.ยง ภู่วรวรรณ ยังเคยให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า วัคซีนซิโนแวค เป็นเชื้อตาย วิธีผลิตจะใช้หลักการเดียวกับวัคซีนที่ทำมาในอดีต เช่น วัคซีนตับอักเสบเอ วัคซีนโปลิโอ พิษสุนัขบ้า อย่างครั้งนี้นักวิทยาศาสตร์จะใช้เชื้อโควิดมาเพาะเลี้ยง เมื่อเพาะได้จำนวนไวรัสที่มากพอก็จะเอามาใช้ฆ่าเชื้อให้ตาย ก่อนใส่สารกระตุ้นภูมิเข้าไป ซึ่งข้อดีของวัคซีนชนิดนี้ คือ เชื้อตายสามารถให้ในคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือต่ำได้
ขณะที่วัคซีนแอสตราเซเนกา จะใช้การผลิตโดยนำสารพันธุกรรมของไวรัสใส่เข้าไปในไวรัสที่จะเป็นเวคเตอร์ หรือตัวฝาก เพื่อให้ไวรัสส่งสารพันธุกรรมของโควิด-19 เข้าไปในเซลล์มนุษย์ เพื่อถอดรูปพันธุกรรม และลอกแบบ สร้างโปรตีนส่งออกมาทำหน้าที่เป็นแอนติเจนกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีต่อเชื้อโควิด ซึ่งข้อดีของวัคซีนชนิดนี้คือ ผลิตได้จำนวนมาก มีความคงทน สามารถเก็บได้ในอุณหภูมิ 2-8 องศาฯ และราคาถูกกว่า
ส่วนผลข้างเคียง 2 วัคซีน เมื่อฉีดอาการทั่วไปที่จะมีได้คือ ปวดเมื่อย ปวดศีรษะ มีไข้ ปวดบริเวณที่ฉีด ซึ่งที่ผ่านมายังไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรง
ด้าน นพ.โสภณ เฆมธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะ ประธานคณะอนุกรรมการ อำนวยการบริหารจัดการการ ให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่าวัคซีนของแอสตราเซเนกาเป็นวัคซีนที่จะนำมาใช้อุดช่องโหว่ของกลุ่มคนที่อายุเกิน 60 ปี เนื่องจากวัคซีนโควิดจากซิโนแวคจะฉีดครอบคลุมในกลุ่มคนที่อายุ 18-59 ปี
ส่วนกระบวนการตรวจสอบวัคซีน 2 ตัวนี้ไม่แตกต่างกัน เพราะกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบ คาดว่าจะใช้เวลา 3 วัน ซึ่งเมื่อตรวจสอบ ทั้งรุ่นการผลิต ประสิทธิภาพแล้วเสร็จ วันรุ่งขึ้นก็สามารถฉีดได้ทันทีทั้ง 2 ตัว
สำหรับแผนกระจายวัคซีน 200,000 โดสแรก จะฉีดให้กลุ่มเป้าหมาย ลอตแรก 183,700 โดส และอีก 16,300 โดส สำหรับควบคุมการระบาดและฉีดให้บุคลากรโรงพยาบาลที่รักษาผู้ป่วยโควิด โดยเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 จะฉีดห่างกัน 2-3 สัปดาห์
ส่วนไทม์ไลน์การกระจายวัคซีน ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ จะมี 13 จังหวัดที่ได้รับ คือ สมุทรสาคร กรุงเทพฯ ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ ตาก นครปฐม สมุทรสงคราม ราชบุรี ชลบุรี ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่ และจะเริ่มฉีดเข็มแรกในวันที่ 1 มีนาคม
ไล่เลียงกันไปตั้งแต่จังหวัดที่ได้รับวัคซีนที่จำนวนโดสมากสุดไปถึงน้อยสุด เริ่มจากสมุทรสาคร ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดงเพียงจังหวัดเดียว จะได้รับวัคซีน 70,000 โดส ฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์-สาธารณสุขด่านหน้า 8,000 โดส เจ้าหน้าที่สัมผัสผู้ป่วย 6,000 โดส ผู้ที่มีโรคประจำตัว 46,000 โดส ประชาชนทั่วไปและแรงงาน 10,000 โดส
กรุงเทพฯ (ฝั่งตะวันตก) ได้รับวัคซีน 66,000 โดส ปทุมธานีได้รับ 8,000 โดส
นนทบุรี และสมุทรปราการ ได้รับเท่ากัน 6,000 โดส อ.แม่สอด จ.ตาก 5,000 โดส นครปฐม 3,500 โดส ราชบุรี 2,500 โดส สมุทรสงคราม 2,000 โดส
ชลบุรี 4,700 โดส ภูเก็ต 4,000 โดส เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี 2,500 โดส และเชียงใหม่ 3,500 โดส ซึ่ง 4 จังหวัดสุดท้ายนี้ เป็นกลุ่มใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมจะมอบให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณากลุ่มเป้าหมายในการฉีดตามสถานการณ์และบริบทของพื้นที่
และหากมองไปถึงอนาคต วัคซีนซิโนแวคจำนวน 800,000 โดส จะมาถึงไทย อีกครั้งในเดือนมีนาคม จากนั้นเมษายน จะเข้ามาอีก 1,000,000 โดส ส่วนเดือนมิถุนายน วัคซีนแอสตราเซเนกา จะถึงไทย 6 ล้านโดส, กรกฎาคม 10,000,000 โดส, สิงหาคม 10,000,000 โดส จากนั้นช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน จะมีเข้ามาอีก 30,000,000 ล้านโดส และลอตสุดท้ายของปีในเดือนธันวาคม จะมาอีก 5,000,000 โดส. – สำนักข่าวไทย