กทม. 22 ธ.ค.-การพบแรงงานต่างชาติติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนที่จังหวัดสมุทรสาคร ทำให้รัฐบาลต้องแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน หนึ่งในรูปแบบที่ถูกทำมาปรับใช้คือสิงคโปร์โมเดล เป็นการคุมพื้นที่ให้อยู่ในวงจำกัด และให้เจ้าหน้าที่คอยส่งอาหารให้กับแรงงาน
สิงคโปร์เคยเป็นประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ในช่วงที่มีการระบาดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน เคยพบผู้ติดเชื้อในประเทศมากถึง 1,400 คนต่อวัน ส่วนใหญ่เป็นการระบาดแบบกลุ่มก้อนจากหอพักแรงงานต่างชาติซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศแถบเอเชียใต้เข้ามาทำงานในอุตสาหกรรมก่อสร้างและการผลิต มีสภาพความเป็นอยู่อย่างแออัด ห้องพัก 1 ห้อง มีคนอยู่รวมกัน 10-12 คน ซึ่งทำให้การรักษาระยะห่างทางสังคมทำได้ยาก
มาตรการหลักที่รัฐบาลสิงคโปร์ใช้ คือ การล็อกดาวน์หอพักแรงงานต่างชาติ กักตัวแรงงานหลายแสนคนให้อยู่แต่ภายในห้องของตนเองเท่านั้น โดยจะมีการจัดอาหารมาให้ในแต่ละมื้อ เพื่อไม่ให้เชื้อกระจายออกไปข้างนอก
นอกจากนี้ ยังตรวจหาเชื้อเชิงรุกให้กับแรงงานทั้งหมด โดยใช้วิธีการตรวจ 2 แบบ คือ ตรวจเชื้อในทางเดินหายใจ หรือ PCR และการตรวจหาสารภูมิต้านทาน (antibody) ในตัวอย่างเลือด ซึ่งจะช่วยให้ทราบว่า เคยเป็นโควิด-19 มาแล้วหรือไม่ คนที่มีผลตรวจเป็นบวก หรือพบแอนติบอดีโควิด-19 ในเลือด จะถูกแยกออกไปอยู่ในพื้นที่กักตัว ซึ่งกระบวนการตรวจเชื้อในแรงงานทั้งหมดกว่า 300,000 คน เสร็จสิ้นภายในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี รูปแบบการควบคุมโควิด-19 ในแรงงานต่างชาติของสิงคโปร์ ก็ถูกกลุ่มเคลื่อนไหววิพากษ์วิจารณ์ว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน และแรงงานเหล่านี้ถูกปฏิบัติเหมือนนักโทษ เพราะต้องอยู่รวมกันอย่างแออัด 10-12 คนต่อห้อง ในห้องพักที่ไม่ถูกสุขอนามัย
สัปดาห์ที่แล้ว ทางการสิงคโปร์ยืนยันว่า สามารถควบคุมการระบาดในหอพักแรงงานต่างชาติได้แล้ว และข้อจำกัดต่างๆ จะคลี่คลายลง โดยในไตรมาสแรกของปีหน้า แรงงานบางส่วนจะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ชุมชนได้เดือนละครั้ง แต่ยังต้องปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัย
ทั้งนี้ สิงคโปร์มีผู้ติดเชื้อสะสมจนถึงขณะนี้กว่า 58,000 คน กว่าร้อยละ 94 มาจากแรงงานต่างชาติเหล่านี้
อ้างอิงจากรายงานข่าวของ Channel News Asia (CNA) ของทางการสิงคโปร์ : https://www.youtube.com/watch?v=vnAxEc5ep3M