กรุงเทพฯ 8 ธ.ค.-คณบดีฯ ศิริราช ชี้ได้เวลาคนไทยตั้งการ์ดสูงกันโควิด-19 อีกครั้ง หลังไทยตกในภาวะยากจะคาดเดาใครติดเชื้อ
ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล สรุปสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ผ่านระบบ facebook live ผ่านเพจ mahidol channel ในช่วงเวลา 10.00 น.ในประเด็น สถานการณ์ล่าสุดของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ทั่วโลกและภูมิคุ้มกันเชื้อ COVID-19, ข้อมูลล่าสุดของการผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ,ข้อพึงปฏิบัติต่อสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หลังเหตุการณ์ลักลอบข้ามพรมแดน “ถึงเวลากลับมายกการ์ด”
หลังจากนั้นให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน โดย ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในเวลานี้ของประเทศไทยยังถือว่าดีและสามารถป้องกันได้มากกว่าโดยรอบ ซึ่งประเทศที่น่ากังวลคือเมียนมา โดยเฉพาะในพื้นที่แถบรัฐยะไข่ ถือว่ามีความเข้มข้นในการกระจายตัวของเชื้อสูงมาก สิ่งที่น่าเป็นห่วงในเวลานี้คือกลุ่มคนในประเทศเมียนมาที่แอบลักลอบเข้ามาในไทยทางช่องทางต่างๆ รวมทั้งคนไทยที่แอบลักลอบเข้าไปในพื้นที่เมียนมา แล้วกลับเข้ามาโดยทีไม่ให้ข้อมูลที่แท้จริงกับเจ้าหน้าที่ ยิ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการที่จะขยายตัวเลขการติดเชื้อได้มากขึ้น ตอนนี้อยากให้ทุกคน ทุกฝ่าย ช่วยกันดูแลและให้ข้อมูลที่เป็นจริงกับทางเจ้าหน้าที่ เพราะในช่วงปีใหม่ยังอยากเห็นคนไทยเฉลิมฉลองในเทศกาลนี้ได้อย่างสบายใจ แต่ถ้าไม่ช่วยกันควบคุมคงจะเป็นอีก 1 ปี ที่เทศกาลปีใหม่ไม่มีความสุข
ยิ่งในช่วงเวลานี้เข้าสู่หน้าหนาว ยิ่งเพิ่มปัจจัยความเสี่ยงในการกระจายตัวของเชื้อโรคได้มากขึ้น ณ เวลานี้ที่เห็นชัดเจนมีอยู่ 3 ปัจจัย คือ
1.อากาศที่เย็นลงจะทำให้สภาพอากาศปิดมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่อยู่ตามตึกสูงต่าง ๆ เมื่ออากาศเย็นหรืออากาศปิดตัวลง ก็มักจะปิดประตูหน้าต่าง อากาศภายในห้องที่อยู่จะถ่ายเทได้ยาก ผู้คนจึงละเลยการสวมใส่หน้ากากอนามัยลักษณะเช่นนี้จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อมากขึ้น
2.พื้นที่ชายขอบที่อยู่ติดกับประเทศไทย เนื่องจากเวลานี้สถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเมียนมาและมาเลเซียที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ และจากข้อมูลพบว่ามีคนในประเทศเหล่านี้พยายามที่จะลักลอบเข้ามาในประเทศไทยผ่านช่องทางธรรมชาติเพื่อเข้ามาทำงาน ตรงนี้ยิ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์โควิด ในประเทศน่าห่วงมากยิ่งขึ้น เพราะเกรงว่าลักษณะการแพร่ระบาดจะเหมือนกับกลุ่มคนที่ลักลอบมาจากท่าขี้เหล็ก
และ3.การชุมนุมภายในประเทศส่วนตัวขอยืนยันว่าไม่มีความต้องการที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวทางการเมืองและเข้าใจในวัตถุประสงค์ของการเรียกร้องและการแสดงออกแต่เวลานี้เป็นช่วงเวลาในลักษณะที่ประเทศไทยย้อนกลับไปเหมือนช่วงที่มีการระบาดประมาณเดือนมีนาคมและเมษายน คือเป็นช่วง เวลาที่ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าใครมีเชื้ออยู่ในร่างกายบ้าง การรวมตัวกันทำกิจกรรมร่วมกันในช่วงเวลาแบบนี้จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยง ถ้าหากเป็น ไปได้ขอให้เลี่ยงหรืองดการรวมตัวของกิจกรรมในช่วงเวลานี้ไปก่อน
สิ่งสำคัญที่คนในประเทศไทยควรกลับมาให้ความสำคัญในเวลานี้คือต้องกลับมาตั้งการ์ดให้สูงขึ้น ในช่วงเวลาที่วัคซีนยังไม่มีความแน่นอนว่าจะได้มาเมื่อไหร่และประเทศไทยตอนนี้เข้าสู่ภาวะที่น่ากังวลเพราะโรคไม่มีการแสดงออก และไม่สามารถคาดการณ์หรือชี้ชัดได้ว่าคนที่เดินไปมาผ่านเราในแต่ละวันจะมีใครติดเชื้อหรือไม่ สิ่งที่สามารถป้องกันและทุกคนทำได้ดีที่สุดในเวลานี้คือการป้องกันตัวเอง โดยเฉพาะการสวมใส่หน้ากากอนามัยและล้างมือบ่อยๆ หากทำได้เป็นนิสัยเหล่านี้จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้มากถึงร้อยละ 80 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าวัคซีนที่บางบริษัทผลิตได้ในเวลานี้อีก
ส่วนความคืบหน้าการผลิตวัคซีน โควิด-19 ในส่วนของประเทศไทยยืนยันว่าประเทศไทยมีวัคซีนแน่ๆ แต่ยังไม่ใช่เร็วๆนี้ แต่ประเทศไทยโชคดีที่ได้เซ็นสัญญากับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าบริษัทผู้ผลิตชีวภัณฑ์ชั้นนำสัญชาติ อังกฤษ-สวีเดนได้ลงนามร่วมกับไทย โดยกระทรวงสาธารณสุขที่จะซื้อขาย และให้ความรู้เรื่องการผลิตวัคซีนกับไทย หากแอสตร้าเซนเนก้า ส่งข้อมูลการผลิตมาให้ใทยเมื่อไหร่ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ เอสซีจี ก็จะสามารถลงมือเริ่มผลิตได้ทันที แต่ต้องรออีกอย่างน้อย 4 เดือน จึงจะได้วัคซีนและพร้อมทดลองใช้ เบื้องต้นในเวลานี้คาดการณ์ว่าประเทศไทยน่าจะมีวัคซีน โควิด-19 ใช้ได้เป็นครั้งแรกประมาณเดือนพฤษภาคมปีหน้า (2564)
ส่วนการติดเชื้อในช่วงเวลานี้ ยังไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าเป็นการระบาดรอบ 2 ยังไม่มีตัวเลขการติดเชื้อภายในประเทศที่สูง จนใช้คำศัพท์ดังกล่าว แต่อัตราการกระจายตัวของเชื้อมีแนวโน้มที่จะมีความรุนแรงมากขึ้นยังคงอยากให้ป้องกันตัวเองจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด.-สำนักข่าวไทย