สำนักข่าวไทย 19ต.ค.-หมอเด็กแอดมินเพจดังแนะทางออกเมื่อลูกเห็นต่างทางการเมือง เปิดใจรับฟัง ไม่ตำหนิ สัมพันธ์ครอบครัวจะไม่แตกแยก
พญ.เสาวภา พรจินดารักษ์ กุมารแพทย์พัฒนาการและพฤติกรรม โรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์ “แอดมินเพจ หมอเสาวภา เลี้ยงลูกเชิงบวก” แนะทางออกของปัญหาความเห็นต่างระหว่างคนครอบครัว ที่จะไม่นำไปสู่ความขัดแย้งหรือแตกหัก ว่า ในช่วงสถานการณ์เช่นนี้ถือว่าเกิดความตรึงเครียดสำหรับทุกบ้าน โดยเฉพาะบ้านที่มีลูกวัยรุ่น หากชุดความคิดไม่ตรงกัน โอกาสไม่ลงลอยกันมีสูง สิ่งที่จะทำให้ครอบครัวไม่แตกแยกหรือมีปัญหา ไม่ใช่การพยายามเปลี่ยนความคิดของลูกให้เห็นตรงกันกับเรา หรือลูกต้องพยายามเปลี่ยนความคิดพ่อแม่ให้เห็นตรงกันกับลูก สิ่งที่จะทำให้อยู่ร่วมกันได้แบบไม่แตกแยก แม้มีความคิดเห็นที่ต่าง คือความเข้าใจ เช่น เมื่อพ่อแม่เห็นลูกเครียด เพื่อนส่งข้อมูลข่าวสารมาหรือการรับฟังข่าวต่างๆที่เกิดขึ้น อาจเกิดความสับสน อาจเกิดความสงสัย เนื่องจากวัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังพัฒนาตัวตน พัฒนาอัตลักษณ์ จึงต้องมีข้อมูลจากหลายๆพื้นที่ ไม่ใช่เฉพาะแค่ข้อมูลจากในบ้านเท่านั้น ดังนั้น หากพ่อแม่สังเกตเห็นถึงความอึดอัด หงุดหงุดง่าย กังวลไปหมด ให้เข้าไปสัมผัส ความรู้สึกของลูก คือพยายามเข้าใจความรู้สึกลูก และให้ลูกรู้สึกว่ามีที่พักพิงใจและให้ลูกสามารถระบายความรู้สึกได้ เล่าให้พ่อแม่ฟังได้
ทั้งนี้ ไม่ได้แนะนำว่าให้พ่อแม่ไปเปลี่ยนชุดความคิดให้เหมือนลูก หากใช้ใจสัมผัสพ่อแม่จะสามารถเข้าใจลูกได้ เนื่องจากพ่อแม่มีทักษะการควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าลูก ซึ่งลูกจะมีทักษะในการคิด ตัดสินใจที่สมบูรณ์ได้ ประมาณ อายุ 25 ปี
พญ.เสาวภา กล่าวว่า พ่อแม่ต้องพยายามเข้าใจลูก ไม่ได้หมายความว่าให้ยอมและถอย ขณะเดียวกันไม่ค่อยเห็นหมอให้คำแนะนำว่า ให้เด็กเข้าใจพ่อแม่ เนื่องจากเป็นเหตุผลเรื่องพัฒนาการทางสมอง ที่ผู้ใหญ่มีพร้อมและสมบูรณ์มากกว่า ส่วนพ่อแม่ที่อาจไม่มีทักษะเรื่องการพูดคุยกับลูก อาจเผลอพูดตรงไปตรงมา โดยบอกว่าอย่าไปห้ามเด็ดขาด ในกรณีนี้อันดับแรกคือการรับฟัง ไม่ว่าจะเป็นกรณีทางการเมืองหรือไม่ ทั้งการคบเพื่อน การอ่านหนังสือ การเรียน การเลือกคณะ การเที่ยวกลางคืน อย่างแรกเลย หากเริ่มพูดด้วยการห้าม โอกาสน้อยมากที่ลูกจะฟัง ควรเริ่มด้วยการเป็นฝ่ายรับฟังโดยไม่ตัดสิน หากลูกบอกว่าอยากจะไป ให้ลูกได้พูด ถามความคิดลูกที่อยากจะไป ในขณะที่รับฟังอย่างไม่ตัดสิน พ่อแม่จะค่อยๆตั้งคำถาม เพื่อที่จะทำความรู้จักความคิด ความรู้สึกของลูก ซึ่งสำคัญมากที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของคนในครอบครัว
สำหรับคนที่มีลูกเป็นวัยรุ่น ต้องรู้จักลูกของเราจริงๆ รับฟังอย่างไม่ตัดสิน จะเป็นประตูด่านแรกที่ลูกจะพูดให้ฟังมากขึ้น ทำให้ลูกรู้สึกว่าบ้านคือที่ปลอดภัย สามารถกลับมาได้เสมอและเป็นที่พักพิงใจได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นอกจากนี้พ่อแม่ยังสามารถเสนอความเห็นให้ลูกฟังได้ว่าคิดอย่างไร แต่หากลูกมีความเห็นแย้งอย่าไปตำหนิความคิดเขา และหากพ่อแม่รับฟัง ให้ข้อมูลลูกโดยไม่ต่อว่าเชื่อมั่นว่า ข้อมูลที่พ่อแม่ให้ไปลูกจะไม่เตะออก แล้วจะเกิดการผสมผสานความคิด เกิดเป็นข้อมูลใหม่ที่ใหญ่ขึ้น ดังนั้น พ่อแม่ต้องเริ่มต้นจากการรับฟังข้อมูลจากลูก เสนอไอเดียตัวเอง และอย่าไปต่อว่าลูก วิเคราะห์ให้เห็น หลังจากนั้นลูกจะตัดสินใจอย่างไรก็แล้วแต่ต้องเคารพการตัดสินใจของลูก เพราะถือว่าพ่อแม่ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว
พญ.เสาวภา กล่าวด้วยว่า ขอยกกรณีตัวอย่างเพื่อเป็นวิทยาทาน เมื่อเร็วๆนี้ มีกรณีที่เกิดความเห็นต่างทางการเมืองระหว่างแม่กับลูกวัยรุ่น เหตุบานปลายถึงขั้นทะเลาะและแม่พลั้งมือลงไม้ลงมือกับลูก จนเกิดเป็นรอยร้าว การจะให้สัมพันธภาพกลับมาเหมือนเดิมต้องใช้เวลา กาวใจสำคัญคือแม่ต้องเข้าไปปรับความเข้าใจและขอโทษ หากอยากได้ความสัมพันธ์ที่ดีกลับ คืนมา ทำให้ลูกเชื่อว่าไม่ว่าเมื่อทำอะไรผิดมาพ่อแม่จะให้อภัยและเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ แต่หากความสัมพันธ์ก่อหน้านี้มีรอยร้าวและสะสมมานานแล้ว และเหตุการณ์บางอย่างกลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย แนะนำให้มาปรึกษาหมอเนื่องจากเป็นเรื่องละเอียอดอ่อนที่ต้องแก้ทีละจุด อย่างเช่นบางเหตุการณ์ที่ถึงขั้น ตัดพ่อแม่ลูก .-สำนักข่าวไทย