กรมอนามัย18ก.ย.-กรมอนามัย กำชับศูนย์อนามัยทุกแห่ง เตรียมความพร้อมบุคลากรและการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม รับมือสถานการณ์พายุ “โนอึล” พร้อมแนะนำประชาชนหลีกเลียงการอยู่ที่โล่งแจ้ง เมื่อเกิดฝนฟ้าคะนอง และติดตามข่าวสารของทางราชการจากทุกช่องทางอย่างใกล้ชิด
พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากข้อมูลกรมอุตุนิยมวิทยา รายงานสถานการณ์พายุโนอึล ที่จะเพิ่มความรุนแรงเป็นพายุระดับ 3 และกำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกด้วยความเร็ว 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยคาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลางและจะเคลื่อนเข้าสูภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยในช่วงวันที่ 18-20 กันยายนนี้ ซึ่งมีผลทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะเริ่มมีผลกระทบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน หลังจากนั้นภาคเหนือและภาคอื่น ๆ จะมีผลกระทบในระยะต่อไป ทำให้พื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณดังกล่าวจะมีฝนตกหนักถึงหนักมาก จนทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้
ดังนั้น ในเบื้องต้นกรมอนามัยได้มอบหมายให้ศูนย์อนามัยทั่วประเทศเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร และอุปกรณ์ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมรองรับกรณีที่เกิดอุทกภัยในพื้นที่เสี่ยง เช่น การจัดการสุขาภิบาลอาหาร การจัดการขยะ จัดหาน้ำสะอาด และชุดนายสะอาด ประกอบด้วย ถุงดำขนาดใหญ่สำหรับใส่ขยะ ถุงดำเล็กสำหรับใส่อุจจาระ น้ำยาล้างจาน สบู่ เจลล้างมือใช้ทำความสะอาดเมื่อเพื่อฆ่าเชื้อโรค หยดทิพย์(คลอรีนน้ำ) ใช้สำหรับฆ่าเชื้อโรคในน้ำ
นอกจากนี้ประชาชนควรระมัดระวังสัตว์และแมลงมีพิษที่มากับน้ำท่วม รวมถึงการใช้ไฟฟ้าภายในบ้านหรือบริเวณบ้าน หากน้ำกำลังท่วม ให้ปลดสวิตช์ (เบรกเกอร์เมน) เพื่อตัดกระแสไฟฟ้า
“ทั้งนี้ ขณะเกิดฝนฟ้าคะนอง ประชาชนควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่ง เช่น ทุ่งนา สนามฟุตบอล สนามกอล์ฟ แต่หากเลี่ยงไม่ได้ต้องไม่อยู่ใกล้ที่สูง เช่น ต้นไม้สูง เสาโทรศัพท์ เสาไฟฟ้า ควรถอดวัตถุหรือเครื่องประดับที่เป็นโลหะออกจากร่างกาย และให้จอดรถห่างจากต้นไม้ใหญ่ ตึกสูง เสาไฟฟ้าหรือป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ แต่หากอยู่ในอาคาร ควรปิดประตูหน้าต่างทุกบานและอยู่ห่างจากผนังอาคาร ประตูและหน้าต่าง ถอดปลั๊กอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าออกให้หมด เพื่อลดอันตรายที่เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรได้ ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงติดตามสถานการณ์พายุโนอึล จากช่องทางสื่อสารต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งจัดเตรียมสิ่งของขึ้นที่สูง เตรียมยาและอาหารแห้ง เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว.-สำนักข่าวไทย