อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 15 ก.ย.-“อนุทิน” ย้ำจุดยืนประสานทุกหน่วยงานในทุกประเทศให้ไทยมีวัคซีนโควิด ส่วนกรณีแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าไทย ประสานฝ่ายปกครองให้เร่งผลักดันกลับทั้งหมด หลังทะลักเข้าไทยหมื่นคน พร้อมเตรียมยกร่างสถานที่กักกันแรงงาน หรือ OQ ให้ปฏิบัติได้จริง เพื่อให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อน
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายไมเคิล จอร์จ ดีซอมบรี เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำ ประเทศไทย เยี่ยมชมสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร ระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา(USAMD – AFRIMS ) พร้อมรับฟังด้านวัคซีนร่วมกันทั้ง วัคซีนเอดส์ และโควิด -19 พร้อมกล่าว ไทยไม่ได้ร่วมมมือแค่สหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ร่วมมือกับทุกประเทศที่สามารถผลิตวัคซีนได้ ทั้งเอเชียและยุโรป ซึ่งรัฐบาลไทยให้การสนับสนุน และอยากให้ความมั่นใจว่า หากมีวัคซีนโควิด เกิดขึ้นบนโลกไทยต้องได้รับวัคซีนแน่นอน
ส่วนเรื่องที่ทางชายแดนไทย-เมียวดี ของเมียนมา หลังทางการเมียนมาประกาศเคอร์ฟิวปิดเมืองนั้น เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล ประสานกระทรวงมหาดไทย ให้ร่วมตรวจสกัดกั้นแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบหลบหนีเข้าไทยตามพรมแดนธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมี อสม. ช่วยสอดส่องดูแลร่วมกันดูแลอย่างเข้มข้น
ด้าน นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองและเกรงเกิดการแพร่ระบาดของโควิดนั้น ได้กำชับให้ทุกพื้นที่ต้องเข้มแข็งผลักดันแรงต่างด้าวผิดกฎหมายกลับประเทศต้นทางให้หมดไม่เว้นกรณีใดๆ ซึ่งจากการควบคุมแก้ไขปัญหาการลักลอบเข้ามาเมืองอย่างเข้มข้น สามารถจับกุม แรงต่างด้าวผิดกฎหมายได้รวม 10,000 คน แบ่งเป็นแรงงานจากเมียนมา 4,000 คน กัมพูชา 4,000 คน และอื่นๆอีก 2,000 คน
ขณะเดียวกันเร่งผลักดันให้เกิดการยกร่างการกักตัวแรงงานต่างด้าวในสถานที่กักกันในรูปแบบเฉพาะองค์กร หรือ Organizational Quarantine ที่ใช้จริง เพื่อเสนอต่อ ศบค.โดยภาครัฐอาจช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายร้อยละ 50 เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำเข้าแรงงานต่างด้าวอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งการควบคุมโรคต้องควบคู่กับการเดินทางเศรษฐกิจด้วย ทั้งนี้สถานที่กักกันนั้น จะต้องตามชายแดนจนแน่ใจถึงเข้ามายังไทยแล้ว และต้องปฏิบัติตามมาตรฐานของสาธารณสุขไทย .-สำนักข่าวไทย