กทม.21ส.ค.-กทม.เข้มมาตรการเฝ้าระวัง-ป้องกัน-ควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต่อเนื่อง หลังองค์การอนามัยโลกแสดงความกังวลคนหนุ่มสาว เป็นสาเหตุหนึ่ง ทำให้เชื้อแพร่กระจาย
พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิวงษ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (รองผู้ว่าฯกทม.) เปิดเผยถึงกรณีองค์การอนามัยโลก (WHO) แสดงความกังวล คนหนุ่มสาววัย 20-40 ปี เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) แพร่กระจาย เนื่องจากหลายคนเป็นผู้ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว เป็นอันตรายต่อประชากรกลุ่มเสี่ยง ว่า กทม.ได้ประสานความร่วมมือกับสำนักงานเขต ตำรวจ ทหาร ร่วมจัดทีมผู้พิทักษ์ “ไทยชนะ” เข้าตรวจติดตามสถานประกอบการต่าง ๆ ให้เข้มงวดมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงและสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง
สำนักการแพทย์ กทม.ประสานความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาล 4 เหล่าทัพ สมาคมโรงพยาบาลเอกชน กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งประเทศไทย โดยประชุมหารือร่วมกัน เพื่อเตรียมรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
ส่วนการบริหารจัดการกรณีเกิดสถานการณ์แพร่ระบาด ปัจจุบันได้จัดเตียงพร้อมรองรับผู้ป่วย รวมทั้งสิ้น 2,471 เตียง รวมถึงเตรียมพร้อมห้อง ICU ความดันลบ ห้องแยกเดี่ยวความดันลบและหอผู้ป่วยสำหรับดูแลผู้ป่วย โรคโควิด-19 ด้วย ขณะเดียวกันได้บริหารจัดการด้านยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อรองรับกรณีเกิดการระบาดระลอกใหม่
สำหรับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในพื้นที่กรุงเทพฯบริหารจัดการโดยศูนย์ บริการการแพทย์ฉุกเฉินกรุงเทพมหานคร (ศูนย์เอราวัณ) ตลอดจนประสานกับสำนักอนามัยในการสอบสวนและคัดกรองโรค
นอกจากนั้น ยังกำหนดมาตรการเข้มงวดในการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมสถานการณ์การระบาดของโรค โดยให้ส่วนราชการในสังกัด จัดกิจกรรม Big Cleaning ทำความสะอาดอาคารสำนักงาน ฉีดพ่นน้ำยา ฆ่าเชื้อ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ทุกวันอังคาร ในบริเวณ ที่ประชาชนสัมผัสร่วมกัน เช่น ราวจับบันไดเลื่อน ปุ่มกดลิฟท์ รถเข็นคนไข้ ห้องน้ำ เก้าอี้ เพื่อเฝ้าระวังเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งได้จัดประชุมโรงพยาบาลหลักทั้ง 9 แห่ง ในระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินกรุงเทพมหานคร เพื่อเตรียมพร้อมการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในกรณีมีการระบาดระลอก 2 โดยใช้ทีมปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉินระดับพื้นฐาน(BLS) และระดับสูง (ALS) ในการนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลที่เหมาะสมต่อไป .-สำนักข่าวไทย