กทม. 5 ธ.ค.- ริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุพระเขี้ยวแก้ว ถึงยังมณฑลพิธีท้องสนามหลวงแล้ว พร้อมเชิญชวนประชาชนสักการะ วันนี้ (5 ธ.ค.) วันแรก ตั้งแต่ 07.00 น.เป็นต้นไป
พิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากสาธารณรัฐประชาชนจีน มาประดิษฐาน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เป็นการชั่วคราว เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และในโอกาสการครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน ในปี 2568
ช่วงเย็นวานนี้มีการจัดริ้วขบวนอัญเชิญอย่างยิ่งใหญ่ 24 ริ้วขบวน สำหรับขบวนรถอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) อยู่ขบวนที่19 เริ่มเคลื่อนริ้วขบวนจากลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์มายังมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ระยะทาง 2.7 กิโลเมตร งดงามและยิ่งใหญ่ โดยมีประชาชนสวมใส่เสื้อสีขาว-เหลือง จำนวนมาก กราบสักการะตลอดเส้นทางที่ขบวนพระบรมสารีริกธาตุพระเขี้ยวแก้วเคลื่อนผ่าน
เมื่อขบวนฯ ถึงบริเวณปะรำพิธี หัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายจีน นายเฉิน รุ่ยเฟิง รัฐมนตรีประจำสำนักงานกิจการศาสนาแห่งชาติ กล่าวมอบพระบรมสารีริกธาตุพระเขี้ยวแก้ว และมีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประธานในพิธีกล่าวรับพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) หลังจากนั้นสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ประธานสงฆ์ฝ่ายไทยและจีน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารฝ่ายไทยและฝ่ายจีน ตั้งแถวรับเสด็จ และไปยังมณฑป นำเวียนเทียนรอบมณฑป นับเป็นมหามงคลครั้งสำคัญและเป็นการสานต่อมิตรภาพอันยาวนานระหว่างไทยกับจีน ผ่านสายสัมพันธ์ทางพระพุทธศาสนา โดยรัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนจึงเห็นชอบร่วมกัน ในการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มาประดิษฐาน ณ ประเทศไทย เป็นการชั่วคราว ในครั้งนี้
วันนี้ 5 ธันวาคม จะเปิดให้ประชาชนสักการะ พระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) เป็นวันแรก ตั้งแต่เวลา 07.00 น – 20.00 น. ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ไปจนถึง 14 กุมภาพันธ์ 2568 โดยประชาชนไม่ต้องนำดอกไม้มาเอง เจ้าหน้าที่มีการจัดเตรียมดอกไม้สักการะไว้ให้ รวมถึงจะได้รับโปสการ์ดพร้อมบทสวดบูชาพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) มอบให้เป็นที่ระลึกด้วย
สำหรับการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วจากจีนมาไทยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 22 ปี หลังจากอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ พุทธมณฑล ครั้งแรกเมื่อปี 2545 และพระเขี้ยวแก้วของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่อัญเชิญมาจากวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง นับว่าเป็นครั้งสำคัญ เพราะเป็นพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนพระเขี้ยวแก้วของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นหนึ่งในสององค์ที่ปรากฏอยู่บนโลก
รัฐบาลเชิญชวนประชาชนมาสักการะพระบรมสารีริกธาตุพระเขี้ยวแก้ว เพื่อความสิริมงคล และในมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ยังมีนิทรรศการเฉลิมพระเกียรและประวัติของพระเขี้ยวแก้ว ให้ได้เดินชม .-สำนักข่าวไทย